Author: Sira Ekabut

  • วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่)

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่)

    ต่อเนื่องจากบทความการบริหารโครงการ หรือ Project Management ด้วย Excel ที่ผมได้เขียนไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเรื่องของการทำ Gantt Chart คราวนี้ผมจะขอพูดถึงเรื่องของการวางแผนโดยใช้ Critical Path หรือคือเส้นทางการทำงานที่สำคัญที่สุด ซึ่งถ้าหากงานใดงานหนึ่งใน Path นั้นเกิดการ Delay ปุ๊ปจะทำให้โครงการโดยรวม Delay ทันที

    หมายเหตุ : เดิมทีบทความนี้ใช่สูตรสมัย Excel 2013 ซึ่งยากมาก เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว ผมเลยปรับบทความนี้ใหม่ให้ใช้สูตรของ Excel 365 จะได้เขียนสูตรง่ายขึ้น และทำให้ข้อมูลเป็น Table จะได้อ่านสูตรง่ายขึ้นและมีความ Dynamic มากขึ้นด้วย

    Case ตัวอย่าง

    โดยผมใช้ภาพประกอบจากบทความนี้ ซึ่งมีอธิบายเรื่องวิธีการคำนวณแบบ Manual ให้ด้วย แต่ผมจะอธิบายวิธีการทำแบบ Auto ใน Version Excel ให้ดูครับ

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 1
    รูปจาก https://pmstudycircle.com/2014/01/critical-path-method-cpm-in-project-management/

    วิธีการอ่านรูป

    • A,B,C คือชื่อของงานย่อยๆ
    • ตัวเลขในกล่องสี่เหลี่ยมคือ ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการทำงานนั้นๆ
    • ลูกศรที่ชี้คือทำงานนั้นเสร็จแล้วต้องทำงานอะไรต่อ (แสดงความ dependency กัน) เช่น งาน B จะเริ่มทำได้เมื่อ A และ D เสร็จแล้วทั้งคู่เท่านั้น

    ความหมายของคำศัพท์แต่ละอัน

    มีองค์ประกอบอยู่ 4 ตัวที่สำคัญ คือ

    • Early Start (ES) : งานนั้นๆ จะเริ่มเร็วสุดได้เมื่อไหร่ = Early Finish ของ Activity ก่อนหน้าอันสุดท้าย + 1 นั่นเอง
    • Early Finish (EF) : งานนั้นๆ จะเสร็จได้เร็วสุดเมื่อไหร่ = Early Start + Duration ของงาน -1 (เพื่อ adj ให้นับวันเริ่มด้วย)
    • Late Finish (LF) : งานนั้นๆ จะเสร็จได้ช้าสุดเมื่อไหร่ = Late Start ของ Activity ถัดไปอันแรก -1
    • Late Start (LS) : งานนั้นๆ จะเริ่มได้ช้าสุดเมื่อไหร่ = Late Finish – Duration + 1

    Assumption

    สมมติว่าทำงานนึงเสร็จวันที่ 5 งานที่ต้องทำลำดับต่อไปจะเริ่มได้เร็วสุดวันที่ 6 นะครบ (ถือว่าวันที่ 5 คือสิ้นวันแล้ว)

    ซึ่งเราจะคำนวณพวก Early Start, Early Finish, Late Start, Late Finish ของแต่ละงานแบบอัตโนมัติครับ บอกไว้ก่อนว่าสูตรในบทความนี้ค่อนข้างซับซ้อน กรุณาทำใจก่อนดู 555

    เริ่มลงมือทำ

    ข้อมูลดิบใน Excel

    เราบันทึกข้อมูลลงไปประมาณนี้

    Activity	Duration	งานก่อนหน้า
    A	10	
    B	12	A,D
    C	9	B
    D	5	
    E	7	D,G
    F	6	E
    G	3	
    H	4	G
    I	6	H

    โดยผมทำเป็น Table ไว้ จะได้อ่านสูตรง่ายขึ้นและมีความ Dynamic มากขึ้นด้วย

    เริ่มคำนวณ ES และ EF

    เราจะต้องคำนวณ Early Start (ES) ก่อน ซึ่งคำนวณมาจาก

    Early Start (ES) 
    = Early Finish ของ Activity ก่อนหน้าอันสุดท้าย + 1

    ซึ่ง Early Finish ของ Activity ก่อนหน้าอันสุดท้าย ถ้าไม่มีก็คือถือว่าเป็น 0 ไปนั่นเอง ซึ่งเราใช้ IF มาดักได้

    Early Start (ES) 
    = IF([@งานก่อนหน้า]="",0,[@[Max EF ก่อนหน้า]])+1

    ส่วน EFก่อนหน้า เรายังไม่มี ก็ต้องคำนวณออกมาก่อน ซึ่งทำได้โดยใช้สูตรที่ว่า

    Early Finish (EF) 
    = ESตัวนั้น + Duration -1
    = [@ES]+[@Duration]-1

    ซึ่ง EF ก่อนหน้า มันอาจมีหลายตัวก็ได้ เช่น กิจกรรม B มีก่อนหน้าคือ A กับ D ซึ่งเราต้องทำการ Lookup ค่า EF ของ A กับ D ออกมา แล้วหาค่า MAX ซึ่งเราทำแบบนี้ได้

    Max EF ก่อนหน้า 
    =MAX(XLOOKUP(TEXTSPLIT([@งานก่อนหน้า],","),[Activity],[EF]))

    ที่นี้จะเห็นว่างานที่จะเสร็จเป็นอันสุดท้ายคือ C ซึ่งจะไปจบวันที่ 31 ไอ้เส้นทางที่จบที่ C นี่แหละ คือ Critical Path ล่ะ

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 2

    เดี๋ยวต่อไปเราจะคำนวณ LF กับ LS นะครับ โดยจะคำนวณ LF ก่อน เพราะเรารู้แล้วว่าต้องจบไม่เกิน 31 นะ

    ปรับตารางให้ทำงานง่ายขึ้น

    เพื่อให้ง่ายขึ้น จากนั้นผมจะเพิ่มคอลัมน์อีกอัน ชื่อว่า “งานต่อหลัง” เพื่อคำนวณว่า งานนั้นมีอะไรต่อหลังจากนั้นนั้นๆ บ้าง?

    หลักการคือ เราหางานที่จะตามหลังจากงานบรรทัดนั้นๆ ด้วย FILTER + FIND แล้วค่อยเอาผลลัพธ์ที่ได้มารวมกันด้วย TEXTJOIN

    งานต่อหลัง
    =TEXTJOIN(",",TRUE,FILTER([Activity],ISNUMBER(FIND([@Activity],[งานก่อนหน้า])),""))
    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 3

    คำนวณ LF และ LS

    สำหรับ LF นั้น = Late Start ของ Activity ถัดไปอันแรก -1 แต่ถ้าเป็น Activity สุดท้ายแล้ว (ไม่มีตัวต่อ ก็จะเท่ากับค่า MAX ของ EF)

    ดังนั้นเราจะเขียนสูตรได้ว่า ถ้าตัวตามหลังไม่มี ก็ให้ LF เป็น MAX EF เลย

    LF
    =IF([@งานต่อหลัง]="",MAX([EF]),[@[Min LS ถัดไป]] -1)

    จากนั้นเราคำนวณ LS (Late Start) ก่อน

    LS
    =[@LF]-[@Duration]+1

    คราวนี้เราจะกลับมาคำนวณ LF ที่ค้างไว้ โดย Min LS ถัดไป ก็คือต้อง Lookup LS ของงานต่อหลังมา แล้วหาค่า MIN

    Min LS ถัดไป
    =MIN(XLOOKUP(TEXTSPLIT([@งานต่อหลัง],","),[Activity],[LS]))

    แล้วเราก็จะได้ผลลัพธ์ครบทุกช่องตามต้องการแล้ว

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 4

    จัดเรียงหน้าตาและทำ Gantt Chart

    ถ้าสูตรทุกอย่าง work แล้ว เราอาจจะรวบสูตร

    เอา Max EF ก่อนหน้า ไปรวมกับ ES

    ES
    = IF([@งานก่อนหน้า]="",0,MAX(XLOOKUP(TEXTSPLIT([@งานก่อนหน้า],","),[Activity],[EF])))+1

    เอา Min LS ถัดไป รวมกับ LF

    LF
    =IF([@งานต่อหลัง]="",MAX([EF]),MIN(XLOOKUP(TEXTSPLIT([@งานต่อหลัง],","),[Activity],[LS])) -1)

    จากนั้นจัดเรียงคอลัมน์ใหม่ให้เหมาะสม เช่น ให้ LS ขึ้นก่อน LF แล้วเว้นไป 1 คอลัมน์ แล้วสร้างคอลัมน์ใหม่เป็น 1-32 (ให้เลยวันสุดท้าย)

    ที่เว้น 1 คอลัมน์ จะได้ไม่ต้องทำเป็น Table

    จะได้หน้าตาแบบนี้

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 5

    ต่อไป ผมจะใส่ Conditional Format 2 อัน สำหรับในช่อง ES-EF กับ LS-LF

    สำหรับ ES-EF เราจะทำอันนึงเป็นสีน้ำเงินแบบมี Pattern แนวตั้ง (จะได้มองทะลุด้านหลังได้) ซึ่งเขียน Conditional Format แบบ Custom ดังนี้ (เลือกพื้นที่เริ่มจาก J3)

    Conditional Format ES-EF สีน้ำเงิน
    =AND(J$2>=$D3,J$2<=$E3)

    สำหรับ LS-LF เราจะทำเป็นสีเหลืองแบบทึบ ซึ่งเขียน Conditional Format แบบ Custom ดังนี้ (เลือกพื้นที่เริ่มจาก J3)

    Conditional Format LS-LF สีเหลือง
    =AND(J$2>=$G3,J$2<=$H3)

    ซึ่งเราจะเรียงเอาสีน้ำเงินขึ้นก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวจะมองไม่เห็น

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 6

    แค่นี้เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าสามารถเริ่มงานอะไรได้ตั้งแต่ตอนไหน เริ่มได้ช้าสุดตอนไหน

    และเราจะสังเกตได้ง่ายเลยว่าตรงไหนคือ Critical Path ซึ่งก็คืองานที่สองสีซ้อนกัน 100% ทั้งงานนั่นเอง (ไม่มีเวลาให้ Late ได้เลย)

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 7

    ซึ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแบบอัตโนมัติทั้งหมดด้วย!

    ลองเปลี่ยน Dependency

    ลองแก้โจทย์ว่างาน G ต้องทำงาน B ให้เสร็จก่อนดู

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 8

    จะเห็นว่าตัวเลขทุกอย่างเปลี่ยนตามหมดเลย

    ซึ่งถ้าลอง Sort ตาม LS อาจจะดูง่ายขึ้นได้ดังนี้

    วิธีคำนวณ Critical Path Method ในงานบริหารโครงการ ด้วย Excel (ปรับปรุงใหม่) 9

    สรุป

    เราสามารถใช้ Excel คำนวณเรื่อง Critical Path ได้ แต่ก็ต้องใช้ทั้งความเข้าใจหลักการของ Project Management เอง และความเข้าใจเรื่องของการใช้สูตรต่างๆ ด้วย

  • อัปเดทโครงการ ทำบุญเรียน Excel

    อัปเดทโครงการ ทำบุญเรียน Excel

    จากที่ผมได้ Post ใน Facebook เพจ เชิญชวนเพื่อนๆ เรียน Excel แบบได้บุญ โดยการบริจาคสร้างสะพานที่วัดป่าบุญนาค ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่…

    โดยผมได้เปิดสอน Excel Power Query + Power Pivot ฉบับรวบรัด 2 ชั่วโมง Live ผ่าน Zoom แบบฟรีๆ ไปในวันที่ 23 เมษา 2568 เวลา 20:00-22:00 โดยที่ผู้เรียนขอแค่มีพื้นฐานการใช้ PivotTable ปกติเป็นก็เรียนรู้เรื่องครับ ซึ่งผมจะขอส่ง invite ให้เฉพาะคนร่วมทำบุญครั้งนี้นะครับ (ร่วมกี่บาทก็ได้) ❤️

    ปกติผมเองปกติจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบุญนาค ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นประจำทุกปี (อย่างน้อยปีละครั้ง) เพราะว่าชอบที่นั่นมาก การปฏิบัติธรรมไม่เคร่งเครียดจนเกินไป และได้มีโอกาสอยู่กับตัวเอง เพราะสัญญาณมือถือแทบไม่มี (ไม่ต้องยึดมือถือเลย 🤣)

    .

    ทีนี้ตอนน้ำท่วมเหนือครั้งก่อน มันพัดต้นไม้ใหญ่มาชนสะพานในวัดซะเกือบพัง ตอนนี้ก็ซ่อมชั่วคราวไปก่อนให้พอเดินได้ แต่ครูบาเตรียมจะซ่อมสะพานที่ชำรุด และจะลงเสาเข็มเหล็กใหม่ เพื่อให้แข็งแรงขึ้นในช่วงปลายเดือน เม.ย. 68 นี้…

    สำหรับผู้ที่สนใจ

    ใครสนใจร่วมเรียน Excel + ทำบุญสร้างสะพาน สามารถโอนไปที่วัดโดยตรง ได้ที่… (กี่บาทก็ได้)

    ธนาคารออมสิน
    เลขที่บัญชี 055060377219
    ชื่อ เงินก่อสร้างวัดป่าบุญนาค

    หมายเหตุ : สามารถบริจาคได้เรื่อยๆ ครับ แต่ที่วัดจะเริ่มสร้างสะพานสิ้นเดือนเมษานี้ ส่วนที่ผมสอน Power Query + Power Pivot 2 ชม. คือ วันที่ 23 เมษานี้ ตอน 2 ทุ่ม ถ้าบริจาคช้ากว่านั้นจะไม่ได้เรียนสด แต่ผมส่งคลิปย้อนหลังให้ได้ครับ

    การส่งหลักฐาน

    ทีนี้ใครที่ร่วมทำบุญครั้งนี้ ให้ส่ง email มาที่ thepexcel@gmail.com ใส่ subject ว่า “ทำบุญเรียน Excel” แล้วแนว slip มาด้วยครับ เพื่อเป็นหลักฐานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

    แล้วผมจะส่ง mail invite Live ผ่าน Zoom การอบรม Excel Power Query + Power Pivot ฉบับรวบรัด 2 ชั่วโมง ไปให้ทาง Email ที่ส่ง Slip มาครับ ❤️

    ณ ตอนนี้มียอดบริจาคเท่านี้แล้วครับ

    ยอดบริจาคล่าสุด

    เทคนิคการดึงข้อมูล

    ผมใช้ n8n ดึงรูป Slip จาก Email แล้วส่งให้ AI อ่านตัวเลขในรูป slip แล้วเอามากรอกใน Google Sheets ให้ จากนั้นเอาไปทำ Dashboard ใน Power BI อีกทีครับ (Refresh เพื่อดึงสดจาก Google Sheets ได้)

    อัปเดทโครงการ ทำบุญเรียน Excel 13
  • IF vs IFS vs SWITCH vs LET ใครคิดเร็ว ใครคิดช้า? มาเรียนรู้วิธีทำให้สูตร Excel เร็วขึ้น

    IF vs IFS vs SWITCH vs LET ใครคิดเร็ว ใครคิดช้า? มาเรียนรู้วิธีทำให้สูตร Excel เร็วขึ้น

    บทความนี้จะพาคุณลึกเข้าไปใน “Performance” ของฟังก์ชันตรวจสอบเงื่อนไขใน Excel
    ตั้งแต่ IF() พื้นฐาน ไปจนถึง IFS(), SWITCH(), LET() และเทคนิคซ่อนสูตรด้วย LAMBDA() เพื่อเลื่อนการคำนวณ จับเวลาด้วย LET() + NOW() แล้วแสดงผลเป็นมิลลิวินาที (ms) ให้เห็นกันชัด ๆ


    🌟 1. ทำไมต้องสนใจ Performance ของสูตร?

    เมื่อสูตร Excel ซับซ้อนขึ้น หรือมีการคำนวณกับ dataset ขนาดใหญ่ ความเร็วในการคำนวณ (calculation speed) จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญ

    • ถ้าเราซ้อน VLOOKUP/XLOOKUP/MAKEARRAY/FILTER หลายครั้งในเงื่อนไขที่ไม่จำเป็น → Excel จะ “คิด” ทุกเงื่อนไขซ้ำนับร้อยครั้ง
    • สูตรที่ช้าไม่ใช่แค่รอผลนาน แต่ยังกินทรัพยากรเครื่อง และอาจทำให้ workbook ทั่วทั้งไฟล์อืดตาม

    บทความนี้อ้างอิงแนวคิดจาก

    The SWITCH and LET functions – Excel formula performance
    by Owen Price (Microsoft MVP)
    ซึ่งลงลึกเรื่องว่า IF() กับ CHOOSE() ให้การประมวลผลแบบ lazy evaluation (short‑circuit) แต่ IFS()/SWITCH()/LET() จะคำนวณ ทุก พารามิเตอร์โดยไม่เลือก


    🔧 2. วิธีจับเวลาใน Excel แบบง่าย ๆ ด้วย LET() + NOW()

    Excel ไม่มีฟังก์ชัน Timer เหมือนภาษาโปรแกรม แต่เราสามารถวัดเวลาคร่าว ๆ ได้ด้วยสูตรนี้ (เพราะใน LET จะไล่คำนวณจากบนลงล่าง แม้จะไม่ได้เรียกใช้ตัวแปรนั้นๆ เลย) :

    =LET(
      start,     NOW(),           // เก็บเวลาเริ่มต้น (หน่วยวัน)
      result,    <สูตรที่อยากวัด>,   // สูตรหนัก ๆ เช่น MAKEARRAY
      elapsed,   NOW() - start,   // ผลต่าง (หน่วยวัน)
      elapsedMs, elapsed * 24 * 60 * 60 * 1000,  // แปลงมิลลิวินาที
      elapsedMs                   // คืนค่าเวลา (ms)
    )

    หมายเหตุ:

    • ค่าที่ได้เป็นการประมาณ ไม่แม่นยำระดับ millisecond เป๊ะ ๆ แต่ใช้เปรียบเทียบระหว่างสูตรได้ดีและง่าย โดยไม่ต้องใช้ VBA จับเวลา

    🧪 3. ชุดทดสอบ: MAKEARRAY(2000,2000,PRODUCT)

    เพื่อให้เห็นภาพชัดที่สุด เราใช้สูตรสร้าง array ขนาดใหญ่ เบิ้มๆ ไปเลย:

    =MAKEARRAY(2000, 2000, PRODUCT)

    เป็นการคูณเลขแถว × เลขคอลัมน์ จำนวน 4 ล้านเซลล์ → Excel ต้องคำนวณนานหลายร้อยมิลลิวินาที

    จากนั้นเอาสูตรนี้ไปใส่ใน IF(), IFS(), SWITCH(), LET() และ LET+LAMBDA() แล้วดู ค่าเวลา (ms) จริงที่ได้

    IF vs IFS vs SWITCH vs LET ใครคิดเร็ว ใครคิดช้า? มาเรียนรู้วิธีทำให้สูตร Excel เร็วขึ้น 14
    สูตรพฤติกรรมคำนวณผลลัพธ์ (ms)สรุป
    MAKEARRAYคำนวณตรง ๆ~400ความเร็วที่ต้องใช้สูตร
    IF(TRUE,…)ถ้าเงื่อนไขเป็น TRUE → ไม่ประมวล MAKEARRAY~0✅ Lazy & เร็ว
    IFS(TRUE,…, FALSE, MAKEARRAY)ประมวลทุกเงื่อนไข แม้ไม่จำเป็น~420❌ ช้า
    SWITCH(1,1,…,2,MAKEARRAY)ประมวลทุกทางเลือก~420❌ ช้า
    LET(slow,MAKEARRAY, result)ประกาศตัวแปรก็เรียกคำนวณทันที แม้ไม่ได้ใช้~420❌ ช้า
    LET(thunk, LAMBDA(MAKEARRAY), result)เก็บสูตรไว้ใน LAMBDA ไม่ประมวลจนกว่าจะเรียก ()~0✅ Lazy & เร็ว

    🧠 4. เจาะลึกแต่ละฟังก์ชัน

    4.1 IF() – ขี้เกียจแบบฉลาด ทำให้คำนวณเร็ว 😂

    =IF(condition, value_if_true, value_if_false)
    =IF(TRUE, "เร็ว", MAKEARRAY(1000,1000,PRODUCT))
    • Short‑circuit (lazy): ถ้า condition = TRUE → Excel จะไม่ไปคำนวณ value_if_false เลย
    • เช่น ในทีนี้จะไม่คำนวณตรง MAKEARRAY(1000,1000,PRODUCT) เลย
    • เหมาะกับกรณีที่เงื่อนไขหลักมีโอกาสเป็นจริงสูงมาก

    Tips : พวก IFNA, IFERROR ก็คำนวณเร็วเช่นกันนะ

    4.2 IFS() – อ่านง่าย เขียนง่าย แต่ขยันเกิน ทำให้ช้า

    =IFS(cond1, val1, cond2, val2, …)
    =IFS(
        TRUE, "เร็ว",
        FALSE, MAKEARRAY(2000,2000,PRODUCT)
      )
    • ไม่ short‑circuit: Excel จะประมวล ทุกเงื่อนไข condN, valN แม้จะเจอเงื่อนไขแรกเป็นจริงแล้วก็ตาม (ทำเพื่อ! 😅)
    • เช่น ในที่นี้แม้ Condition แรกจะจริงไปแล้ว แต่ก็มาคิด Condition ที่สองต่อ ทำให้ยังคำนวณ MAKEARRAY(2000,2000,PRODUCT) ช้าๆ ออกมาอยู่ดี
    • ถ้าใช้ภายใน IFS() สูตรหนัก ๆ หลายตัว → ช้ากว่าซ้ำนับครั้งไม่ถ้วน

    4.3 SWITCH() – อ่านเปรียบเทียบค่าคงที่ได้ดี แต่ขยันเกินจนช้า

    =SWITCH(expression, val1, res1, val2, res2, …)=SWITCH(1,
        1, "เร็ว",
        2, MAKEARRAY(2000,2000,PRODUCT)
      )
    
    • ไม่ short‑circuit: Excel จะคำนวณทุกเงื่อนไข แม้ expression จะตรงกับ val1 ตั้งแต่แรกแล้ว
    • เช่น ในทีนี้ แม้ expression จะเป็น 1 ซึ่งตรงอันแรกแล้ว มันก็ยังคิด 2 ที่เป็น MAKEARRAY ช้าๆ อยู่ดี
    • อ่านง่ายกว่าซ้อน IF/IFS แต่หากมีสูตรหนักก็ไม่ work

    Tips: ใช้ CHOOSE จะ Short-circuit ทำให้เร็วได้ เช่น

    =CHOOSE(3, "A", "B", MAKEARRAY(2000,2000,PRODUCT))  // ถ้าเลือก 3 จะคำนวณ MAKEARRAY แค่ครั้งเดียว

    4.4 LET() – ลดการคำนวณตอนเรียกใช้ซ้ำแต่คำนวณทุกค่าที่ประกาศไว้

    =LET(name1, expr1, name2, expr2, …, result)
    =LET(slow, MAKEARRAY(2000,2000,PRODUCT),
      result, "เร็ว",
      result)
    • ทุก exprN ที่มีการประกาศตัวแปรไว้ จะถูกประมวลผลทันทีเมื่อสูตรรัน โดยไม่สนว่า nameN จะถูกนำไปใช้ใน result สุดท้ายหรือไม่
    • เช่น ในทีนี้ตัวแปร slow ไม่ได้ถูกเรียกใช้ในตอนจบเลย แต่ก็ยังคำนวณ MAKEARRAY ช้าๆ อยู่ดี
    • ใช้ลดการซ้ำของสูตร เช่น VLOOKUP ครั้งละหลายรอบได้ดี แต่ประกาศตัวแปรหนัก ๆ แล้วไม่ได้ใช้ → ก็ยังช้าเหมือนเดิม

    4.5 LET() + LAMBDA() – “Thunk” เลื่อนการคำนวณได้

    =LET(
      Thunk, LAMBDA(MAKEARRAY(2000,2000,PRODUCT)),
      result,    "เร็ว",
      result
    )
    • เมื่อประกาศตัวแปร ที่ใช้ LAMBDA ครอบไว้ → Excel จะไม่ประมวล MAKEARRAY ทันที
    • ถ้าต้องการคำนวณจริง ๆ ให้เรียก Thunk() โดยต้องเติมวงเล็บ () ไว้ข้างหลังด้วยนะ แบบนี้
    =LET(
      Thunk, LAMBDA(MAKEARRAY(2000,2000,PRODUCT)),
      result,    "เร็ว",    Thunk())

    🚀 5. ทริกปรับสูตรให้เร็วขึ้น

    1. ใช้ IF() แทน IFS() ถ้าเงื่อนไขแรกมีโอกาสเป็น TRUE สูง
    2. ห่อสูตรหนัก ๆ ใน LAMBDA() แล้วเรียกเมื่อจำเป็น
    3. ลดการคำนวณซ้ำ ด้วย LET() แต่แน่ใจว่าชื่อที่ประกาศจะถูกใช้จริง
    4. เลือก CHOOSE() แทน SWITCH() เมื่อค่าต้องเลือกเป็นลำดับ (1,2,3…) เพื่อได้ lazy evaluation

    ✨ 6. สรุปอีกทีให้เซฟเก็บ

    • IF(), IFNA(), IFERROR() = ✅ Lazy Evaluation ทำให้เร็ว : หยุดคำนวณเงื่อนไขหลังทันที
    • IFS() = ❌ Eager Evaluation ทำให้ช้า: คิดทุกเงื่อนไข
    • CHOOSE() = ✅ Lazy Evaluation ทำให้เร็ว : คิดเฉพาะทางเลือกที่เลือกจริงๆ
    • SWITCH() = Eager Evaluation ทำให้ช้า: คิดทุกทางเลือก
    • LET() = Eager Evaluation ทำให้ช้า: คิดทุกตัวแปร
    • LET+LAMBDA() = Lazy Evaluation ทำให้เร็ว: เลื่อนคำนวณจนกว่าจะเรียกใช้

    ใครกำลังเจอ Excel อืดเพราะสูตรซ้อนซับซ้อน ลองเอาแนวทางนี้ไปปรับใช้ดูครับ
    – บางทีแค่เปลี่ยนจาก IFS → IF หรือห่อสูตรใน LAMBDA ก็ช่วยลดเวลาไปได้ครึ่งหนึ่ง!

    ถ้าคิดว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ อย่าลืมแชร์หน้านี้ให้เพื่อน ๆ เห็นทริกเทพเอ็กเซลกันเยอะ ๆ นะครับ 😉

  • 🔍 ยกระดับการค้นหาข้อความใน Excel ด้วย RegEx ⚡

    🔍 ยกระดับการค้นหาข้อความใน Excel ด้วย RegEx ⚡

    ถ้าคุณใช้ Excel มานาน คงคุ้นเคยกับ Wildcard อย่าง * หรือ ? กันดีใช่มั้ยครับ 😜 โดยปกติเราจะใช้ Wildcard ร่วมกับฟังก์ชันยอดฮิต เช่น SEARCH, SUMIFS, หรือ VLOOKUP เพื่อช่วยค้นหาหรือจับคู่ข้อความง่ายๆ

    ตัวอย่างการใช้ Wildcard:

    • *phone* → ค้นหาคำที่มีคำว่า “phone” อยู่ที่ตำแหน่งไหนก็ได้ เช่น smartphone, iphone16, phone call
    • ca? → ค้นหาคำที่ขึ้นต้นด้วย “ca” และตามด้วยตัวอักษรอีกหนึ่งตัว เช่น cat, car

    แต่ Wildcard มีข้อจำกัดมาก ถ้าคุณต้องการจัดการข้อความที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น ดึงอีเมลจากข้อความยาวๆ เช็คว่าข้อความมีตัวเลขหรือไม่ หรือแทนที่คำเฉพาะที่เข้าเงื่อนไข Wildcard จะเริ่มเอาไม่อยู่ทันที…

    มาทำความรู้จักกับ RegEx กัน

    RegEx (Regular Expression) คือ “ภาษาสำหรับกำหนดรูปแบบข้อความ” ที่ยืดหยุ่นและมีพลังสูงกว่า Wildcard หลายเท่าตัว สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ง่ายกว่า เช่น:

    • ตรวจสอบว่าข้อความมีเบอร์โทรศัพท์หรือรหัสพิเศษซ่อนอยู่หรือไม่
    • ดึงเฉพาะอีเมลออกมาจากข้อความที่ซับซ้อน
    • แทนที่ข้อความหรือสัญลักษณ์ตามเงื่อนไขเฉพาะเจาะจง

    🛠 พื้นฐานการเขียน RegEx แบบง่ายๆ

    เรามาเริ่มเรียนรู้การใช้งาน RegEx พื้นฐานกันก่อนเลยครับ:

    อักขระที่อยากได้

    • cat → หาคำนั้นๆ เลย เช่น cat
    • . → แทนตัวอักษรอะไรก็ได้ 1 ตัว เช่น ca. จะจับได้ cat, car, cab
    • \d → ตัวเลข (digit)
    • \w → ตัวอักษรหรือตัวเลข (word character)
    • \s → ช่องว่าง (space)

    character class

    • [abc] → a, b, หรือ c
    • [^abc] → ไม่ใช่ a, b, c
    • [a-z] → a ถึง z ตัวไหนก็ได้
    • [A-Z] → A ถึง Z ตัวไหนก็ได้
    • [0-9] → เลข 0 ถึง 9

    ตัวระบุจำนวน

    • + → มีตัวข้างหน้าซ้ำตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป
    • * → มีตัวข้างหน้าซ้ำกี่ตัวก็ได้ (0 ตัวขึ้นไป)
    • {n} → ตัวข้างหน้าซ้ำจำนวน n ตัวเป๊ะๆ

    ตัวอย่างแบบง่ายๆ :

    • \d{4} → ตัวเลข 4 หลัก เช่น 2024, 1234
    • [A-Za-z]+ → คำที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเท่านั้น

    ถ้าอยากเรียนรู้แบบละเอียดขึ้น อ่านที่บทความเก่าที่ผมเขียนถึง RegEx ได้ที่นี่

    🚀 3 ฟังก์ชัน RegEx ทรงพลังใน Excel 365

    Excel 365 มีฟังก์ชัน RegEx หลักๆ อยู่ 3 ตัว ที่ช่วยงานข้อความได้อย่างลงตัว:

    1. REGEXTEST → เช็คว่าข้อความตรงกับ Pattern หรือไม่ (ได้ TRUE/FALSE)
    2. REGEXEXTRACT → ดึงข้อความที่ตรงกับ Pattern ออกมา
    3. REGEXREPLACE → แทนที่ข้อความที่ตรงกับ Pattern ด้วยข้อความใหม่

    🌟 มาลองใช้งานจริงกัน!

    สมมติในเซลล์ A1 มีข้อความ:

    Order: P1234, Contact: test@email.com, Note: urgent!!
    • เช็คว่ามีคำว่า P ตามด้วยตัวเลข 4 หลักหรือไม่:
    =REGEXTEST(A1, "P\d{4}")
    

    ผลลัพธ์: TRUE

    • ดึงเฉพาะอีเมลออกมา:
    =REGEXEXTRACT(A1, "[A-Za-z0-9._%+-]+@[A-Za-z0-9.-]+\.[A-Za-z]{2,}")
    

    ผลลัพธ์: test@email.com

    • แทนที่คำว่า urgent! หรือ urgent!! ด้วย ⚠️ด่วน:
    =REGEXREPLACE(A1, "urgent!?+", "⚠️ด่วน")
    

    ผลลัพธ์: Order: P1234, Contact: test@email.com, Note: ⚠️ด่วน

    🎯 วิธีการนำ RegEx ไปใช้งานจริง

    ตัวอย่างเพิ่มเติม:

    • ดึงเบอร์โทรศัพท์จากข้อความ:
    =REGEXEXTRACT(A1, "\d{3}-\d{3}-\d{4}")
    

    (เช่น 089-123-4567)

    • ตรวจสอบว่าข้อความมีตัวเลขหรือไม่:
    =REGEXTEST(A1, "\d")
    
    • ลบตัวเลขทั้งหมดออกจากข้อความ:
    =REGEXREPLACE(A1, "\d", "")
    

    🤖 ให้ AI ช่วยคุณสร้าง Pattern ได้

    ถ้ารู้สึก RegEx มันดูซับซ้อน อย่าเพิ่งตกใจไป! เพราะยุคนี้คุณสามารถใช้ AI อย่าง ChatGPT หรือ Copilot ช่วยสร้าง Pattern ได้ง่ายๆ แค่บอก AI ว่าต้องการ Pattern แบบไหน มันก็จัดให้แบบรวดเร็วทันใจครับ 😉 เช่น

    ช่วยเขียน regex ที่ดัก email address ให้หน่อย
    🔍 ยกระดับการค้นหาข้อความใน Excel ด้วย RegEx ⚡ 15

    อธิบายแต่ละส่วน:

    ส่วนความหมาย
    [a-zA-Z0-9._%+-]+username ด้านหน้าของ @ เช่น john.doe
    @สัญลักษณ์ @
    [a-zA-Z0-9.-]+domain name เช่น gmail หรือ thepexcel
    \.จุดก่อน top-level domain เช่น .com
    [a-zA-Z]{2,}top-level domain เช่น com, co.th, edu

    📌 สรุป

    RegEx เป็นสุดยอดอาวุธลับที่ทำให้คุณทำงานกับข้อความได้ง่ายขึ้นมหาศาล Excel 365 พร้อมให้คุณใช้งานฟังก์ชัน RegEx แล้ว อย่ารอช้า ไปลองกันเลย แล้วจะรู้ว่าพลังของมันสุดยอดขนาดไหน! 😎

    ปล. ฟังก์ชันนี้สามารถใช้คู่กับฟังก์ชันยอดฮิตอย่าง XLOOKUP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาได้ด้วยนะครับ 😉

  • แผน Level Up ทักษะ Excel

    แผน Level Up ทักษะ Excel

    ✨ โลกของ Excel ก็เหมือนเกม RPG… ที่ทุกคนเริ่มจากเลเวล 1 แล้วค่อยๆ เก่งขึ้นได้จริง!

    วันนี้ผมมีแผน Level Up ทักษะ Excel สนุกๆ มาฝากครับ! ลองเช็กดูหน่อยว่าตอนนี้คุณอยู่เลเวลไหนกันแล้ว?
    มาดูกันครับว่า คุณอยู่จุดไหนของเส้นทางนี้แล้ว? แล้วต่อจากนี้ จะไปต่อทางไหนดี?

    เริ่มเดินทางสู่การฝึกฝน Excel

    🚀 LV.1 – Excel Novice 👶

    จุดเริ่มต้นของทุกคน…

    • เปิด Excel ได้ กรอกข้อมูลได้บ้าง
    • ทำ SUM ง่ายๆ ได้ แต่ยังไม่รู้จักฟังก์ชันอื่นๆ
    • ยังไม่เข้าใจว่าใน Excel มีข้อมูลประเภทไหน ใช้เครื่องมือไหนทำอะไร?

    อย่าเพิ่งท้อ เพราะทุกคนเริ่มจากจุดนี้เหมือนกัน!
    แค่คุณ “อยากเก่งขึ้น” นั่นแหละคือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดแล้วครับ 💪

    🚀 LV.10 – Basic Tools & Formula ⚙️

    เริ่มจับทางได้ เริ่มคล่องมือมากขึ้น

    • ใช้ฟังก์ชันพื้นฐานอย่าง COUNT, MAX, AVERAGE ได้
    • ใช้เมนูพื้นฐานได้ดีขึ้น เช่น Sort & Filter, Find & Replace, Remove Duplicates
    • ใช้ Flash Fill (Ctrl+E) ได้แบบเทพๆ

    พื้นฐานเริ่มแน่น พร้อมออกผจญภัยแล้ว!
    จุดนี้แหละที่คุณจะเริ่ม “เลือกสาย” ได้ว่า อยากไปต่อทางไหนดี?


    🧭 เส้นทางต่อไป สายไหนที่ใช่สำหรับคุณ?

    หลังจาก Level 10 เป็นต้นไป คุณสามารถเลือกพัฒนาตัวเองได้ 2 สายหลัก (หรือจะเก่งทั้งสองสายก็ไม่ผิดนะ 😎)


    ✨ สายเขียนสูตร (Formula Path)

    เหมาะกับคนที่ชอบ “ผลลัพธ์เปลี่ยนทันที”
    เมื่อข้อมูลต้นทางเปลี่ยน → สูตรจะคำนวณผลใหม่ให้ทันที

    🗡️ LV.20 – Formula Knight ⚔️

    เริ่มเป็นอัศวินแห่งสูตร!

    • ใช้ SUMIFS, COUNTIFS, IF, IFERROR ได้สบายๆ
    • สูตรวันที่/เวลา: DATE, EDATE, EOMONTH, YEAR, MONTH
    • สูตรข้อความ: TRIM, LEFT, RIGHT, TEXTBEFORE, TEXTAFTER, TEXTSPLIT, TEXTJOIN
    • ดึงข้อมูลจากตารางอ้างอิงด้วย XLOOKUP, INDEX, MATCH, VLOOKUP

    ตอนนี้คุณพร้อมรับมือกับงานที่หลากหลายมากขึ้นแล้ว!

    🧙‍♀️ LV.40 – Dynamic Array Master 🌀

    เข้าสู่ขั้นเทพของโลกสูตร!

    • สูตร Dynamic Array ที่ผลลัพธ์กระจายเป็นหลายบรรทัด เช่น SEQUENCE, UNIQUE, FILTER, SORT, CHOOSECOLS, VSTACK, HSTACK
    • ใช้ LET เพื่อประกาศตัวแปรให้สูตรอ่านง่ายขึ้น
    • ใช้ LAMBDA, BYROW, MAP, SCAN, REDUCE เพื่อเขียนสูตรซับซ้อนแบบยืดหยุ่นสุดๆ
    • ฟังก์ชันขั้นเทพ: GROUPBY, PIVOTBY, REGEXEXTRACT, TEXTSPLIT, ฯลฯ

    สูตรเดียวเปลี่ยนทั้งรายงานได้เลย! 🔥
    เหมือนมีเวทมนตร์อยู่ในมือเลยล่ะครับ


    ⚙️ สายเครื่องมือ (Tool Path)

    เหมาะกับคนที่ชอบ “มองภาพรวม” ชอบลากวาง คลิก แล้วเห็นภาพเลย
    ใช้ข้อมูลเยอะๆ แล้วต้องการสรุปอย่างเร็วแบบมีระบบ

    🛡️ LV.20 – Pivot Paladin 🏅

    เชี่ยวชาญการใช้ Pivot Table

    • สรุปข้อมูลขนาดใหญ่แบบคลิกๆ ลากๆ
    • สร้างตารางแบบมี Group, Filter, Drill down
    • รู้จักฟีเจอร์ต่างๆ ของ Pivot เช่น Slicer, Timeline

    รายงานแบบมืออาชีพในไม่กี่คลิก สายนี้เหมาะกับงานธุรกิจสุดๆ!

    🚩 LV.40 – Power Query & Power Pivot Champion 🏆

    เข้าสู่โลกแห่งการจัดการข้อมูลจริงจัง

    • ใช้ Power Query รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง (หลายไฟล์ หลายชีต)
    • แปลงข้อมูล, ล้างข้อมูล, สร้าง Step อัตโนมัติ แล้วแค่ Refresh ก็ได้ข้อมูลใหม่
    • ใช้ M Code ปรับแต่งขั้นสูง
    • ใช้ Power Pivot เพื่อผูกความสัมพันธ์หลายตาราง + เขียนสูตร DAX เพื่อสร้างรายงานขั้นเทพ

    สายนี้คือตัวจริงของงานวิเคราะห์และการทำ Dashboard ครับ
    ยิ่งถ้าต่อยอดไป Power BI ได้ด้วย จะสุดยอดมากๆ!

    🔥 แล้วมีสายอื่นอีกไหม?

    แน่นอน! ถ้าคุณอยากทำงานอัตโนมัติ หรือทำงานแบบโปรแกรมเมอร์

    • สายเขียนโปรแกรม:
      เรียนรู้ VBA, Office Script, หรือทำ Automation ผ่าน Power Automate, n8n
      สั่งให้ Excel ทำงานเองได้แบบไม่ต้องคลิกเอง!
    • Python in Excel:
      สำหรับสาย Data Science
      ใช้ Library อย่าง Numpy, Pandas, Scikit-learn, Matplotlib ใน Excel ได้เลย!
      วิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง + ทำกราฟอลังการ 💥

    🧠 สรุป: สายไหนก็เทพได้ แค่ “กล้าเริ่มต้น”

    💬 Excel ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้ตอนนี้
    แล้วค่อยๆ อัปเลเวลไปเรื่อยๆ
    ไม่ว่าคุณจะเป็นสายสูตร หรือสายเครื่องมือ ก็สร้างผลงานเทพได้ทั้งนั้น!

    📍 ถ้าคุณอยากเริ่มต้นแบบสนุกๆ ลองเข้าไปดูบทความและคลิปต่างๆ ได้ที่นี่ ThepExcel.com หรือจะเริ่มจากโพสต์ดีๆ ในเพจ “เทพเอ็กเซล” ก็ได้เลยครับ 😄

  • วิธีทำรายงาน Excel อัตโนมัติ 100% แบบ Step-by-Step

    วิธีทำรายงาน Excel อัตโนมัติ 100% แบบ Step-by-Step

    คุณเคยเจอปัญหาแบบนี้ไหม?

    • ทุกวันต้องดาวน์โหลดไฟล์แนบจากอีเมล หรือดึงข้อมูลจากระบบที่ทำงาน แล้วก็อปลง Excel ด้วยตัวเอง
    • ไฟล์ที่ได้มาก็มักจะไม่สะอาด ต้องมานั่งลบแถวหัวตารางที่ไม่จำเป็น แก้ไขฟอร์แมตวันที่ รวมข้อมูลจากหลายไฟล์ กว่าจะได้ข้อมูลที่พร้อมใช้ก็เสียเวลาไปเพียบ…
    • ถ้าต้องมีการคำนวณเพิ่มเติม เช่น คำนวณยอดขายสะสม เปรียบเทียบยอดขายปีที่แล้ว หรือคำนวณเปอร์เซ็นต์เติบโต เวลาจะเปลี่ยนหน้าตารายงาน ก็ต้องมานั่งแก้สูตรทำใหม่ตลอด
    • เมื่อข้อมูลพร้อมแล้ว ยังต้องกด Refresh Pivot Table อัปเดต Dashboard เองทุกครั้ง
    • พอทำรายงานเสร็จก็แทบตายแล้ว ยังไม่มีเวลาวิเคราะห์ผลจากมันเลย เดี๋ยวก็ต้องส่งไฟล์แนบไปให้หัวหน้า หรือแจ้งทีมงานทางอีเมลหรือ Line ด้วยตัวเอง

    งานพวกนี้กินเวลาไปเยอะมาก โดยเฉพาะถ้าคุณต้องทำทุกวันหรือทุกสัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้า การทำรายงานสามารถเสร็จเร็วกว่านี้ได้? คุณจะได้มีเวลาเอาไปทำสิ่งที่มีคุณค่ามากขึ้น เช่น วิเคราะห์ผลจากรายงานเพื่อปรับปรุงธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น

    👉 บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ วิธีทำให้ทุกขั้นตอนในกระบวนการทำรายงาน Excel เป็นระบบอัตโนมัติ 100% ตั้งแต่การดึงข้อมูล การ Clean ข้อมูล การคำนวณขั้นสูง การ Refresh ข้อมูล ไปจนถึงการแจ้งเตือนและส่งรายงานให้ทีมงาน โดยใช้ Power Query, Power Pivot, Pivot Table, VBA, Task Scheduler และเครื่องมือ Automation อื่นๆ

    ถ้าคุณอยากลดเวลาทำงานจาก 1 ชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที และทำให้รายงานอัปเดตได้เองแบบไม่มี Human Error—มาลองทำไปพร้อมกัน!


    1️⃣ ดึงไฟล์รายงานใหม่อัตโนมัติ

    ก่อนที่เราจะทำรายงานได้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ข้อมูล” ซึ่งโดยปกติแล้ว ข้อมูลที่ใช้ทำรายงานมักจะถูกส่งมาในรูปแบบต่างๆ เช่น ไฟล์ Excel, CSV, Google Sheets หรือดึงจาก Database โดยตรง ซึ่งถ้าเราต้องมากดโหลดไฟล์เองทุกครั้งก็เสียเวลามาก 🕒

    ดังนั้น การตั้งระบบให้ดึงไฟล์รายงานใหม่แบบ อัตโนมัติ จะช่วยให้เราประหยัดเวลา และลดข้อผิดพลาดจากการทำงานแบบ Manual ได้เยอะ


    Option A: Power Query ดึงข้อมูลได้โดยตรง

    ใช้ในกรณีที่แหล่งข้อมูลของเรา สามารถเข้าถึงได้โดยตรง ผ่าน Power Query เช่น

    • ไฟล์ Excel หรือ CSV ในโฟลเดอร์ (ไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องเรา หรือ บนพวก OneDrive/ SharePoint)
    • Google Sheets (ผ่าน Web)
    • ฐานข้อมูล SQL Server, MySQL, หรืออื่นๆ

    วิธีการใช้งาน Power Query

    1. เปิด Excel → เข้า Power Query (Get & Transform Data)
    2. เลือก Get Data → เลือกแหล่งข้อมูลที่ต้องการ
    3. หากเป็นไฟล์หลายไฟล์ สามารถใช้ Get data From Folder หรือ SharePoint Folder เพื่อรวมไฟล์อัตโนมัติได้ (แต่ถ้าเอาจากแหล่งออนไลน์ เช่น SharePoint มี Trick นิดนึง ดูได้ที่นี่)

    📌 จุดเด่นของวิธีนี้

    • ง่ายและสะดวก ใช้ Power Query ดึงข้อมูลได้โดยตรง
    • อัปเดตอัตโนมัติ แค่ Refresh ก็ได้ข้อมูลล่าสุด

    Option B: Power Query ดึงข้อมูลโดยตรงไม่ได้ ทำยังไงดี?

    กรณีที่ Power Query ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้โดยตรง เช่น

    • ไฟล์แนบที่ถูกส่งมาทางอีเมล หรือ Line
    • ไฟล์ที่อยู่บน Google Drive ที่ Power Query ดึงลำบาก ต้องไปกดโหลดเอง

    👉 วิธีแก้ปัญหาคือ ใช้ Automation Tool เช่น

    • Power Automate (ของ Microsoft)
    • Make.com
    • n8n (สามารถโหลดมาใช้ฟรีได้)

    ตัวอย่าง

    • ตั้งค่าให้ดึงไฟล์แนบจาก อีเมล หรือ Line แบบอัตโนมัติ
    • เก็บไว้ในโฟลเดอร์ที่กำหนด
    • เมื่อไฟล์ถูกดาวน์โหลดมาเก็บในที่ที่กำหนด → จากนั้น Power Query ก็สามารถใช้ Get Data ดึงไฟล์ หรือทั้ง Folder นั้นเข้า Excel ได้เลย 🎉

    เมื่อเราสามารถดึงไฟล์ใหม่อัตโนมัติได้แล้ว งานทำรายงานของเราจะ เร็วขึ้น และ สะดวกขึ้น มาก 🚀


    2️⃣ ใช้ Power Query Clean ข้อมูล

    หลังจากที่เราดึงข้อมูลมาได้แล้ว ปัญหาที่มักจะเจอบ่อยคือ ข้อมูลไม่สะอาด เช่น คอลัมน์ชื่อไม่ตรงกัน, มีแถวหัวตารางที่เกินมา, ฟอร์แมตวันที่ / ตัวเลขผิด, ข้อมูลมีค่า Error หรือค่าซ้ำซ้อน…และอีกมากมาย ซึ่งรมถึงโครงสร้างตารางที่มาผิดรูปแบบโดยสิ้นเชิง

    Power Query เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำ Data Cleaning ได้ง่ายและอัตโนมัติ ด้วยการกำหนดขั้นตอนการทำงานไว้ใน Applied Steps (ซึ่งจริงๆ คือ M Code) ซึ่งสามารถสั่งทำซ้ำได้ง่ายๆ ด้วยการ Refresh

    การ Transform data ที่หลากหลาย

    • จัดโครงสร้างข้อมูลให้ถูกต้อง
      • Pivot, Unpivot, Split, Merge Columns และอื่นๆ อีกมากมาย
    • จัดรูปแบบข้อมูลให้เป็นมาตรฐาน
      • เราสามารถใช้ M Code แก้ชื่อคอลัมน์แบบอัตโนมัติด้วย Table.TransformColumnNames ก็ได้นะ
    • ลบค่าที่ไม่ต้องการ (Error หรือค่าซ้ำซ้อน)
      • Remove Rows/Columns, Choose Columns, Filter
      • Remove Errors, Remove Duplicates
    • เพิ่มคอลัมน์ให้ครบถ้วน
      • Add Custom Column, Column From Example, Extract Data
    • รวมข้อมูลจากหลายตาราง (ถ้าจำเป็น)
      • 📌 Append Queries → รวมข้อมูลโดยเอามาต่อตูดกันในแนวตั้ง (ชื่อคอลัมน์เหมือนกัน) ใช้เมื่อเราต้องการรวมข้อมูลจากหลายไฟล์ / หลายชีต
      • 📌 Merge Queries → รวมข้อมูลที่มีคีย์ร่วมกันคล้ายๆ VLOOKUP (เลือกคอลัมเชื่อมเอง) ใช้เมื่อเราต้องการรวมข้อมูลจาก 2 ตารางที่มี รหัสสินค้า หรือ รหัสลูกค้า เหมือนกัน
    • เทคนิคเมื่อรวมหลายไฟล์เข้าด้วยกัน
      • หลังจาก Get Data From Folder แล้วกด Combine แล้วอาจต้องไปแก้ใน Transform Sample File ด้วย (เป้นตัวกำหนดว่าจะทำอะไรกับแต่ละไฟล์ก่อนจะจับรวมกัน)

    ซึ่งรายละเอียดของการสั่งงาน Power Query ผมมีสอนอยู่เยอะแล้ว ยังไงลองดูใน 2 คลิปนี้ก่อนก็ได้ครับ


    สุดท้าย: โหลดข้อมูลกลับไปใช้ใน Excel หรือ Data Model

    • ถ้าเป็นรายงานทั่วไป
      • กด Close & Load To… → เลือก Table/PivotTable ใน Excel
    • ถ้าข้อมูลมีโครงสร้างซับซ้อน
      • เลือก Only Create Connection แต่ให้ติ๊ก Add this Data to Data Model ต่อ

    3️⃣ ใช้ Power Pivot คำนวณข้อมูลขั้นสูง ด้วย DAX (ถ้างานซับซ้อน)

    การทำรายงานสรุปใน Excel นั้น จริงๆ ถ้าเป็นงานทั่วๆ ไป เราอาจใช้แค่ Pivot Table ปกติธรรมดามาช่วยมันก็จบแล้ว แต่ว่ามันก็มีหลายๆ สถานการณ์ที่เหมาะกับ Power Pivot มากกว่า ซึ่งแม้มันจะดูซับซ้อนขึ้น แต่ถ้าทำได้ ชีวิตจะดีมากๆ ในระยะยาว เช่น

    🔴 1. ข้อมูลมีหลายตาราง และแต่ละตารางมีความละเอียด (Granularity) ไม่เท่ากัน

    เวลาทำ รายงานวิเคราะห์ข้อมูล เรามักต้องรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น

    • ข้อมูล ยอดขายจริง (Actual Sales)
    • ข้อมูล เป้าหมายยอดขาย (Sales Target)
    • ข้อมูล ลูกค้า, สินค้า, ภูมิภาค

    หลายคนอาจคิดว่า “ก็ใช้ VLOOKUP รวมข้อมูลทั้งหมดเข้าไว้ในตารางเดียวสิ!” แต่ปัญหาคือ ถ้าข้อมูลแต่ละตารางมีความละเอียด (Granularity) ไม่เท่ากัน เช่น

    • Actual Sales → มีข้อมูล รายวัน / รายสินค้า
    • Target Sales → มีข้อมูล รายเดือน / รายภูมิภาค

    ถ้าใช้ VLOOKUP จะเกิดปัญหา เช่น

    • จะเอาข้อมูล Target รายเดือนมาวางใน Actual รายวันยังไง? 🤔
    • จะเฉลี่ยเป้าหมายเป็นรายวัน หรือเอาไปจับคู่ยังไง?

    การใช้ Data Model ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เพราะมันสามารถสร้าง Relationship และใช้ DAX คำนวณข้อมูลข้ามตารางได้


    🔴 2. ไม่ต้องใช้ VLOOKUP ซ้อนกันหลายชั้น (ลดความช้า & ไฟล์ไม่พัง!)

    • ถ้ามีข้อมูล 5 ตาราง แล้วต้องใช้ VLOOKUP ซ้อนกัน ไฟล์จะ ช้า และอาจมีปัญหาได้
    • Power Pivot สามารถ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างตาราง โดยไม่ต้องใช้ VLOOKUP

    ซึ่งมีข้อดีหลายอย่าง เช่น

    • ดึงข้อมูลจากหลายตารางมารวมกันได้อัตโนมัติ
    • ลดขนาดไฟล์ เพราะไม่ต้อง Copy ข้อมูลซ้ำไปมา
    • คำนวณเร็วขึ้น เพราะใช้ Data Model แทนการคำนวณแบบ Cell-by-Cell

    🔴 3. การคำนวณขั้นสูง (เช่น CALCULATE, Running Total, YTD, MTD) ทำไม่ได้ใน Pivot Table ธรรมดา
    ถ้าเราใช้ Pivot Table ปกติ จะเจอปัญหา แม้ว่ามันจะมีฟีเจอร์ชื่อว่า Calculated Field มาให้เราสร้าง Field คำนวณขึ้นมาเองได้ แต่ว่าการคำนวณสรุปที่ใช้ได้ถูกจำกัดแค่การ SUM ซึ่งต่างจากเวลาเราใช้ Power Pivot ที่สามารถเขียน Measure ที่สามารถใช้สูตร DAX อะไรก็ได้

    นอกจากนี้ใน PivotTable ปกติ แม้จะมี Show Value as มาช่วยคำนวณที่คล้ายกับว่าจะทำ Running Total ได้ แต่จริงๆ แล้วมีข้อจำกัดเยอะ เพราะเครื่องมือไม่ได้เข้าใจความเป็น ปี ไตรมาศ เดือน จริงๆ ซึ่งต่างจาก Time Intelligence ของ DAX ซึ่งสามารถคำนวณเกี่ยวกับเวลาได้อย่างถูกต้องจริงๆ


    ตัวอย่างการใช้สูตร DAX ใน Measure ของ Power Pivot

    Total Sales = SUM(Sales[Amount])
    Target Sales = SUM(SalesTarget[TargetAmount])
    Sales vs Target % = [Total Sales] / [Target Sales]

    เราสามารถใช้ CALCULATE เปลี่ยน Filter Context ในรายงานได้อย่างอิสระ

    📌 คำนวณยอดขายเฉพาะสินค้าหมวดหมู่ “Electronics”

    Sales Electronics = 
    CALCULATE(
        [Total Sales], 
        Products[Category] = "Electronics"
    )

    📌 นับจำนวนลูกค้าที่ซื้อสินค้ามากกว่า 3 ชิ้น

    Customers Buying More Than 3 Items = 
    CALCULATE(
        DISTINCTCOUNT(Sales[CustomerID]), 
        Sales[Quantity] > 3
    )

    📌 คำนวณยอดขาย Year-to-Date (YTD Sales)

    YTD Sales = 
    CALCULATE(
        [Total Sales], 
        DATESYTD(Sales[Date])
    )

    📌 Running Total (ยอดขายสะสม)

    Running Total = 
    CALCULATE(
        [Total Sales],
        FILTER(
            ALL(Sales[Date]),
            Sales[Date] <= MAX(Sales[Date])
        )
    )

    📌 เปรียบเทียบยอดขายกับปีที่แล้ว (YoY Growth)

    เวลาเขียน DAX เราสามารถประกาศตัวแปรด้วย VAR ได้ด้วย ซึ่งดีมากๆ เลย

    YoY Growth = 
    VAR CurrentYearSales = [Total Sales]  
    VAR PreviousYearSales = CALCULATE([Total Sales], SAMEPERIODLASTYEAR(Sales[Date]))  
    RETURN  
        (CurrentYearSales - PreviousYearSales) / PreviousYearSales

    DAX ช่วยให้เราสามารถคำนวณข้อมูลซับซ้อนแบบ Dynamic ได้ ไม่ต้อง Copy Formula ทับไปมาเหมือน Excel ปกติ

    4️⃣ สร้าง Pivot Table / Dashboard ให้พร้อมใช้

    เมื่อข้อมูลพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาสร้างรายงานให้อ่านง่ายขึ้น! ซึ่งขั้นตอนนี้น่าจะทำง่ายมากๆ แล้ว ไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ

    ✅ ใช้ Pivot Table สรุปข้อมูล / ปรับ Show Value as ได้ตามความเหมาะสม
    ✅ ใช้ Pivot Chart แสดงผลให้ดูเข้าใจง่าย
    ✅ อาจใช้ Conditional Formatting เพื่อให้ตัวเลขสำคัญดูโดดเด่นขึ้น
    ✅ เพิ่ม Slicers / Timeline ให้สามารถเลือก Filter บน Table/PivotTable/Pivot Chart ได้แบบ Interactive เลย (แต่ก็สู้ Power BI ไม่ได้นะ)


    5️⃣ตั้งให้ Excel Refresh ข้อมูล + ปิดอัตโนมัติ 🔄

    💡 ถ้าคุณต้อง Refresh Power Query ทุกวัน โดยไม่ต้องกดเอง และ ให้ Excel ปิดเองอัตโนมัติ นี่คือวิธีทำให้ Excel ทำงานเอง 100% ตั้งแต่เปิดไฟล์ → Refresh → ปิดไฟล์

    ซึ่งวิธีที่ผมจำนำเสนอคือ ใช้ Task Scheduler + VBS ซึ่ง เหมาะกับ ไฟล์ที่อยู่ บนเครื่องตัวเอง หรือเซิร์ฟเวอร์ และใช้ได้กับ Excel Desktop โดยที่เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (แต่มีข้อจำกัดคือต้องเปิดเครื่องคอมพ์เราไว้ด้วย)


    📌 แนวคิดของ Workflow ที่เราจะทำให้ Excel ทำงานเอง:

    • Task Scheduler สั่งรัน VBS ตามเวลาที่กำหนดเพื่อเปิด Excel
    • ใน VBS จะมีสั่งให้เปิด Excel ที่กำหนดแล้วรัน VBA Macro บนนั้น
    • VBA Macro ใน Excel จะสั่ง Refresh Power Query อัตโนมัติ
    • Excel จะปิดตัวเองอัตโนมัติหลังจาก Refresh เสร็จ

    หลายคนสงสัยว่า “ทำไมไม่ใช้แค่ Macro (VBA) ใน Excel อย่างเดียว?”
    👉 เหตุผลก็คือ VBA ทำงานได้แค่ใน Excel เท่านั้น 🚀 แต่ VBS (VBScript) สามารถสั่งให้ Windows ควบคุม Excel (ในระดับพื้นฐาน) ได้จากภายนอกเลย โดยที่เราจะแบ่งหน้าที่กันทำงาน คือ

    • VBS (VBScript) เป็นตัวสั่งให้ Excel เปิดขึ้นมาอัตโนมัติ แล้วเรียก Macro ทำงาน ✅
    • VBA (Macro) สั่งงานละเอียด สามารถสั่ง Excel Refresh All (Queries และ Pivot ทั้งหมด) และปิดตัวเองได้

    🔥 วิธีที่ดีที่สุด = ใช้ VBS เปิด Excel แล้วให้ VBA ทำงานใน Excel! ซึ่งระบบอัตโนมัติทำงานได้เสถียรกว่าใช้ Task Scheduler สั่งเปิดไฟล์ Excel แล้วรัน Macro ตรงๆ

    ทีนี้ขั้นตอนการสร้างไฟล์และ Code ทั้งหมดจะเป็นแบบนี้ครับ

    สร้างไฟล์ VBS (AutoRefresh.vbs)

    📌 VBS มีหน้าที่:
    ✔ เปิด Excel อัตโนมัติ
    ✔ เรียกใช้ Macro ใน Excel

    ' AutoRefresh.vbs - Improved version
    On Error Resume Next
    
    Dim objExcel, objWorkbook
    Set objExcel = CreateObject("Excel.Application")
    If Err.Number <> 0 Then
        WScript.Echo "Error: ไม่สามารถสร้าง Excel application ได้"
        WScript.Quit 1
    End If
    
    objExcel.Visible = False
    
    Set objWorkbook = objExcel.Workbooks.Open("C:\Reports\DailyReport.xlsm")
    If Err.Number <> 0 Then
        WScript.Echo "Error: ไม่สามารถเปิดไฟล์ DailyReport.xlsm ได้"
        objExcel.Quit
        WScript.Quit 1
    End If
    
    ' เรียก Macro AutoRefreshAndClose
    objExcel.Run "AutoRefreshAndClose"
    If Err.Number <> 0 Then
        WScript.Echo "Error: ไม่สามารถเรียกใช้ Macro AutoRefreshAndClose ได้"
        objWorkbook.Close False
        objExcel.Quit
        WScript.Quit 1
    End If
    
    ' ปิด Workbook (ถ้า Macro ยังไม่ได้ปิด Excel)
    objWorkbook.Close True
    objExcel.Quit
    
    Set objWorkbook = Nothing
    Set objExcel = Nothing
    On Error GoTo 0
    

    📌 บันทึกไฟล์เป็น "C:\Scripts\AutoRefresh.vbs"


    สร้าง Macro VBA (AutoRefreshAndClose) ใน Excel

    📌 VBA มีหน้าที่:

    • Refresh Power Query อัตโนมัติ
    • รอให้ Refresh เสร็จก่อนทำงานต่อ
    • บันทึกไฟล์
    • ปิด Excel อัตโนมัติ

    กด Alt+F11 เข้า Visual Basic Editor แล้ว Insert Module ใหม่ แล้วแปะ code นี้ลงไป

    ป.ล. คำสั่ง Application.CalculateUntilAsyncQueriesDone จะใช้ได้ใน Excel 2016 ขึ้นไป นะครับ

    Sub AutoRefreshAndClose()
        On Error GoTo ErrHandler
        
        Dim FilePath As String
        
        ' รีเฟรชข้อมูลทั้งหมด
        ThisWorkbook.RefreshAll
        ' รอให้ asynchronous queries ทำงานจนเสร็จ
        Application.CalculateUntilAsyncQueriesDone
        
        ' ปิดการแจ้งเตือนก่อนบันทึกไฟล์ เพื่อป้องกัน prompt ยืนยันการบันทึกทับ
        Application.DisplayAlerts = False
        ThisWorkbook.Save
        Application.DisplayAlerts = True
        
        ' ปิด Excel
        Application.Quit
        Exit Sub
        
    ErrHandler:
        MsgBox "AutoRefreshAndClose Error " & Err.Number & ": " & Err.Description, vbCritical, "Error"
        Application.Quit
    End Sub

    📌 ที่สำคัญ ต้อง บันทึกไฟล์เป็น "Excel Macro-Enabled Workbook (*.xlsm)" ด้วยนะ ไม่งั้น VBA หาย!!


    ตั้ง Task Scheduler ให้รัน VBS อัตโนมัติ

    📌 Task Scheduler มีหน้าที่:
    ✔ เรียก VBS ตามเวลาที่กำหนด
    ✔ ทำให้ Excel เปิด – Refresh – ปิดเอง

    วิธีตั้งค่า Task Scheduler

    1️⃣ กด Windows + R → พิมพ์ taskschd.msc → กด Enter
    2️⃣ กด Action -> Create Basic Task
    3️⃣ ตั้งชื่อ Task เช่น "Auto Refresh Excel"
    4️⃣ เลือก Daily → ตั้งเวลาเป็น 09:00 AM
    5️⃣ เลือก Action → Start a program
    6️⃣ ในช่อง Program/script ใส่ Path เพื่อเรียกใช้ wscript.exe ดังนี้

    C:\Windows\System32\wscript.exe

    7️⃣ ในช่อง Add arguments ให้ใส่ Path ของไฟล์ VBS ที่เราสร้างไว้

    "C:\Scripts\AutoRefresh.vbs"

    8️⃣ กด Finish → ทดสอบ Run Task

    Windows จะเรียกใช้ VBS ตามเวลาที่กำหนด และ VBS จะสั่งให้ Excel เปิด – Refresh – ปิดเอง! (แต่ต้องเปิดคอมพ์ไว้ก่อน 9 โมงเช้านะ ไม่งั้น Task Scheduler ก็รันไม่ได้)


    สรุป Workflow อัตโนมัติ 100%

    📌 Task Scheduler → สั่งรัน VBS อัตโนมัติตามเวลาที่กำหนด
    📌 VBS → เปิด Excel และรัน Macro (VBA)
    📌 VBA Macro → สั่ง Refresh Power Query แล้วรอให้เสร็จ
    📌 VBA Macro → บันทึกไฟล์และปิด Excel อัตโนมัติ

    ป.ล. นอกจากวิธีนี้ เรายังอาจสามารถใช้ Power Automate Desktop สั่งเปิดไฟล์ Excel ขึ้นมา แล้วกดปุ่ม Refresh ก็ได้นะครับ มันอาจมีหลายท่าที่ทำได้

    แต่เท่าที่เช็ค ณ ตอนนี้ Power Automate Cloud ไม่สามารถเขียน Office Script ให้ Refresh Power Query ปกติได้ เพราะ Office Scripts ไม่สามารถ Refresh ข้อมูลใน Excel Online ผ่าน Power Automate ได้อย่างสมบูรณ์

    • คำสั่ง PivotTable.refresh ใช้ไม่ได้ใน Flow ของ Power Automate
    • คำสั่ง Workbook.refreshAllDataConnections ใช้ได้แค่กับข้อมูลที่มาจาก Power BI
    • Power Automate ไม่สามารถ Trigger การ Refresh ของสูตรที่ใช้ Workbook Links ได้

    ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเปลี่ยนไหมนะครับ


    6️⃣ตรวจสอบ+วิเคราะห์ผลจากรายงาน

    แม้ว่าเราจะทำให้ Excel อัตโนมัติ 100% แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะถูกต้องเสมอไป! ✅

    การตั้งค่า Automation ช่วยลดเวลาทำงานซ้ำๆ ได้ก็จริง แต่ ข้อผิดพลาด ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น:

    • ข้อมูลต้นทางผิดพลาด → เช่น มีคนกรอกข้อมูลผิด หรือใช้ฟอร์แมตไม่ตรงกับที่ระบบรองรับ
    • ไฟล์ต้นทางมีการเปลี่ยนแปลง → เช่น มีการเพิ่ม/ลบคอลัมน์ ทำให้ Power Query ทำงานผิดพลาด
    • ระบบ Automation มีปัญหา → อาจเกิดจากไฟล์ต้นทางไม่อัปเดต หรือระบบติดขัดจากข้อจำกัดของซอฟต์แวร์
    • สูตรคำนวณหรือ Model มีบั๊ก → เช่น เงื่อนไขใน DAX หรือ Power Pivot ที่ออกแบบไว้แต่เดิมไม่ครอบคลุมทุกกรณี

    ทำไมต้องตรวจสอบก่อนส่งรายงาน?

    เพราะ การทำรายงานไม่ได้จบแค่ทำให้เสร็จ แต่เป้าหมายของเราคือ การ Take Action ที่ถูกต้องจากข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

    • ถ้าข้อมูลผิด องค์กรอาจตัดสินใจผิดพลาด
    • ถ้าระบบ Automation มีข้อผิดพลาดแต่ไม่มีใครตรวจสอบ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาสะสมในระยะยาว

    สิ่งที่ควรทำในขั้นตอนนี้

    • ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
      • เช็คว่า Power Query โหลดข้อมูลมาครบหรือไม่ (เรื่องพวกนี้สร้าง Query ที่ช่วยตรวจสอบปัญหาได้ เช่น นับจำนวน, Keep Errors, Keep Duplicates เพื่อให้เห็นปัญหาชัดๆ)
      • ตรวจสอบว่าสูตรคำนวณใน Power Pivot หรือ DAX ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
      • เช็คว่ากราฟ, Pivot Table, และ Dashboard อัปเดตตรงตามที่ควรจะเป็น (ซึ่งใช้ Sense ทางธุรกิจดูได้ว่าเลขน่าจะถูกหรือผิด)
    • วิเคราะห์และสรุปข้อมูล
      • ใช้เวลาที่ประหยัดจากการทำรายงาน มาโฟกัสที่ การสรุป Insight ที่สำคัญ
      • ตั้งคำถามสำคัญ: มีอะไรเปลี่ยนแปลงผิดปกติ? ตัวเลขไหนต้องจับตา?
      • หาแนวทางในการพัฒนาองค์กรจากข้อมูลที่ได้
    • ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วย แต่ต้องคิดเอง
      • ใช้ AI เช่น ChatGPT ใช้ AI เป็น ที่ปรึกษา หรือช่วยเขียนรายงานเกลาภาษาให้สวยและเข้าใจง่ายขึ้นได้
      • แต่ AI ไม่สามารถเข้าใจบริบทธุรกิจของคุณได้ดีเท่าคุณเอง อย่าใช้มันตัดสินใจแทนคุณ
    • บันทึกไฟล์ที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว
      • หากรายงานผ่านการตรวจสอบและวิเคราะห์แล้ว ให้บันทึกลงโฟลเดอร์ใหม่ เช่น "ReportsReady"
      • โฟลเดอร์นี้จะเป็นตัวบอกว่า รายงาน พร้อมสำหรับการส่งต่อให้ผู้บริหารหรือทีมงาน

    7️⃣แจ้งเตือนหรือส่งรายงานอัตโนมัติ

    หลังจากที่เราทำการวิเคราะห์ผลรายงาน แล้วใส่รายงานพร้อมผลการวิเคราะห์ลงใน Folder ReportsReady แล้ว
    👉 ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ แจ้งเตือนหรือส่งรายงานให้ทีมงาน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้รับข้อมูลล่าสุด โดยเราสามารถทำให้ระบบแจ้งเตือนและส่งรายงานอัตโนมัติได้ 2 วิธี


    Option A: ใช้ Automation Tool เช่น Power Automate, n8n, Make

    📌 เหมาะกับ:
    ✅ ไฟล์ที่อยู่บน Cloud (OneDrive, SharePoint, Google Drive, Dropbox)
    ✅ ต้องการแจ้งเตือนผ่าน Email, Microsoft Teams, Line
    ✅ ไม่ต้องเปิดเครื่องเอง → Cloud ทำงานให้

    💡 พวกโปรแกรม Automate สามารถตั้งค่าให้ “จับตาดูไฟล์” ใน Folder ที่กำหนดว่ามีการเพิ่ม/อัปเดตหรือไม่ (เป็น Trigger แบบหนึ่ง) ถ้ามี Workflow ก็จะทำงาน แล้วส่งแจ้งเตือนไปให้ทีมงานอัตโนมัติ

    ซึ่งสามารถแจ้งเตือนผ่านช่างทางต่างๆ ได้หลายช่องทาง เช่น

    • Line Messaging API
    • Microsoft Teams
    • Email
    • App Notification
    • อื่นๆ

    ทำให้ทีมงานได้รับการแจ้งเตือนแบบ Real-time ทุกครั้งที่ไฟล์อัปเดต ! 🚀 ซึ่งรายละเอียดต้องไปดูที่เครื่องมือ Automation แต่ละตัวอีกทีนะครับ


    Option B: ใช้ Task Scheduler + VBS + VBA ส่งอีเมลผ่าน Outlook

    📌 เหมาะกับ:
    ✅ ไฟล์ที่อยู่บน เครื่องตัวเอง หรือเซิร์ฟเวอร์
    ✅ ใช้ MS Outlook เป็นตัวส่งอีเมล
    ✅ ต้องการแนบไฟล์ Excel ไปในอีเมลโดยตรง


    วิธีใช้ Task Scheduler + VBS + VBA ส่งอีเมล

    📌 Workflow ที่เราจะทำ:
    1️⃣ Task Scheduler → เรียกใช้ VBS ตามเวลาที่กำหนด
    2️⃣ VBS → เปิด Excel และรัน Macro ที่ส่งอีเมล
    3️⃣ VBA ใน Excel → ใช้ MS Outlook สร้างอีเมลและแนบไฟล์รายงาน


    โค้ด VBS (AutoSendEmail.vbs)

    📌 VBS มีหน้าที่:
    ✔ เปิด Excel อัตโนมัติ
    ✔ รัน Macro ที่ส่งอีเมล

    On Error Resume Next
    
    Dim objExcel, objWorkbook
    Set objExcel = CreateObject("Excel.Application")
    If Err.Number <> 0 Then
        WScript.Echo "Error: ไม่สามารถสร้าง Excel application ได้"
        WScript.Quit 1
    End If
    
    objExcel.Visible = False
    
    Set objWorkbook = objExcel.Workbooks.Open("C:\ReportsReady\DailyReport.xlsm")
    If Err.Number <> 0 Then
        WScript.Echo "Error: ไม่สามารถเปิดไฟล์ DailyReport.xlsm ได้"
        objExcel.Quit
        WScript.Quit 1
    End If
    
    ' เรียก Macro SendReport
    objExcel.Run "SendReport"
    If Err.Number <> 0 Then
        WScript.Echo "Error: ไม่สามารถเรียกใช้ Macro SendReport ได้"
        objWorkbook.Close False
        objExcel.Quit
        WScript.Quit 1
    End If
    
    ' ปิด Workbook และ Excel
    objWorkbook.Close True
    objExcel.Quit
    
    Set objWorkbook = Nothing
    Set objExcel = Nothing
    On Error GoTo 0

    📌 บันทึกไฟล์เป็น "C:\Scripts\AutoSendEmail.vbs"


    โค้ด VBA (SendReport) ใน Excel

    📌 VBA มีหน้าที่:
    ✔ สร้าง Email ใน MS Outlook
    ✔ แนบไฟล์รายงาน
    ✔ ส่งอีเมลอัตโนมัติ

    Sub SendReport()
        On Error GoTo ErrHandler
        
        Dim OutApp As Object
        Dim OutMail As Object
        Dim AttachmentPath As String
        
        AttachmentPath = "C:\ReportsReady\DailyReport.xlsm"
        
        ' ตรวจสอบว่าไฟล์แนบมีอยู่จริงหรือไม่
        If Dir(AttachmentPath) = "" Then
            MsgBox "ไม่พบไฟล์แนบ: " & AttachmentPath, vbExclamation, "SendReport Error"
            Exit Sub
        End If
        
        Set OutApp = CreateObject("Outlook.Application")
        Set OutMail = OutApp.CreateItem(0)
        
        With OutMail
            .To = "your_team@example.com"
            .CC = "manager@example.com"
            .Subject = "Daily Report"
            .Body = "แนบไฟล์รายงานประจำวันที่ " & Format(Date, "dd/mm/yyyy") & " ตามที่อัปเดตไว้"
            .Attachments.Add AttachmentPath
            .Send ' หรือเปลี่ยนเป็น .Display เพื่อเช็คก่อนส่ง
        End With
        
        ' ล้างตัวแปร
        Set OutMail = Nothing
        Set OutApp = Nothing
        Exit Sub
        
    ErrHandler:
        MsgBox "SendReport Error " & Err.Number & ": " & Err.Description, vbCritical, "Error"
        Set OutMail = Nothing
        Set OutApp = Nothing
    End Sub

    📌 บันทึกไฟล์เป็น "Excel Macro-Enabled Workbook (*.xlsm)"


    ตั้ง Task Scheduler ให้รัน VBS อัตโนมัติ

    📌 ให้ Task Scheduler เรียกใช้ VBS เพื่อให้ Excel เปิดขึ้นมาแล้วส่งอีเมล

    1️⃣ เปิด Task Scheduler (taskschd.msc)
    2️⃣ กด Create Basic Task
    3️⃣ ตั้งชื่อ Task เช่น "Auto Send Report"
    4️⃣ เลือก Daily → ตั้งเวลาเป็น 10:00 AM
    5️⃣ เลือก Action → Start a program
    6️⃣ ในช่อง Program/script ใส่ Path ของ wscript.exe

    C:\Windows\System32\wscript.exe

    7️⃣ ในช่อง Add arguments ให้ใส่ Path ของ VBS

    "C:\Scripts\AutoSendEmail.vbs"

    8️⃣ กด Finish → ทดสอบ Run Task

    ทุกวัน เวลา 10:00 AM → ระบบจะเปิด Excel → ส่งอีเมลแนบไฟล์ให้ทีมโดยอัตโนมัติ!


    🎯 สรุป: วิธีไหนเหมาะกับคุณ?

    วิธีใช้กับไฟล์แบบไหน?ส่งแจ้งเตือนไปที่ไหน?ความซับซ้อน
    Power Automate / n8n / Makeไฟล์บน CloudEmail, Teams, Line, App⭐⭐⭐
    (ง่ายกว่า แต่อาจมีค่าใช้จ่าย)
    Task Scheduler + VBS + VBA (Outlook)ไฟล์บนเครื่องตัวเองEmail (Outlook)⭐⭐⭐⭐
    (ต้องตั้งค่ามากกว่า และต้องเปิดเครื่องทิ้งไว้)

    📢 แล้วคุณใช้วิธีไหนส่งรายงานอัตโนมัติ? มีปัญหาตรงไหน ลองแชร์กันดูครับ!


    🔥 สรุป: เปลี่ยน Excel Manual ให้เป็นระบบอัตโนมัติ 100%! 🔥

    หลังจากที่เราเดินทางกันมาตั้งแต่ ดึงข้อมูล → Clean ข้อมูล → คำนวณ → Refresh → แจ้งเตือน
    ตอนนี้คุณสามารถทำให้ Excel ทำงานอัตโนมัติได้ครบทุกขั้นตอน


    🤖 ทำให้ Excel ทำงานเอง 100% ตาม Workflow นี้

    1. ดึงข้อมูลอัตโนมัติ

    • ใช้ Power Query ดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
    • ใช้ Automation Tool (Power Automate, n8n, Make) ถ้าต้องดาวน์โหลดไฟล์แนบจาก Email หรือ Cloud

    2. Clean ข้อมูลให้อัตโนมัติ

    • ใช้ Power Query ลบแถวหัวตาราง, รวมไฟล์, แปลงฟอร์แมตข้อมูล
    • ใช้ Data Model (Power Pivot) ถ้าต้องคำนวณหลายตาราง

    3. ใช้ Power Pivot คำนวณขั้นสูง

    • ใช้ DAX คำนวณ Running Total, Moving Average, YTD, MTD
    • ใช้ Relationship แทน VLOOKUP เมื่อข้อมูล Granularity ไม่เท่ากัน

    4. ตั้งให้ Excel Refresh ข้อมูลอัตโนมัติ

    • ใช้ Task Scheduler + VBS + VBA เหมาะมากกับไฟล์ที่อยู่บนเครื่องตัวเอง

    5. ตรวจสอบ+วิเคราะห์ผลจากรายงาน

    • ตรวจความถูกต้อง
    • วิเคราะห์ผลเพื่อพัฒนาธุรกิจและองค์กร

    6. แจ้งเตือนหรือส่งรายงานอัตโนมัติ

    • ใช้ Power Automate / n8n / Make ส่งแจ้งเตือน Email, Teams, Line
    • ใช้ Task Scheduler + VBS + VBA ส่งอีเมลแนบรายงานผ่าน Outlook

    เริ่มใช้ระบบอัตโนมัติกับงานของคุณเลย

    • ไม่ต้องเสียเวลาทำงานซ้ำๆ ทุกวัน Excel จัดการให้เอง
    • ลดความผิดพลาด ข้อมูลอัปเดตตรงเวลาเสมอ
    • มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า ไม่ต้องกด Refresh หรือส่งอีเมลเอง

    ลองนำไปปรับใช้ดู แล้วอย่าลืมแชร์ว่าลองแล้วเป็นไงบ้างนะ! 🚀

  • ThepExcel Public Workshop 2025

    ThepExcel Public Workshop 2025

    ยกระดับทักษะของคุณกับ Workshop ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การทำงานของคุณ!

    • เรียนรู้ Excel / Power BI ตั้งแต่พื้นฐานแบบความรู้แน่นๆ ประยุกต์ได้
    • นำงานมาถาม/ปรึกษาช่วงท้ายการอบรมได้
    • ทำงานเสร็จไว มีเวลาทำในสิ่งสำคัญมากขึ้น
    • เลือกรูปแบบที่เหมาะกับคุณได้ทั้งแบบ Onsite ที่โรงแรม และ Live Online ผ่าน Zoom
    • สอนโดย คุณ ศิระ เอกบุตร เจ้าของเพจ “เทพเอ็กเซล” ที่มีผู้ติดตามนับแสน มียอดวิวนับล้านใน YouTube  มีประสบการณ์สอน Excel ให้บริษัทชั้นนำกว่า 100 แห่ง

    Power Query Workshop 2025 (พฤษภาคม)

    • Onsite ที่โรงแรมสินธร มิดทาวน์ (กทม.) : 17-18 พฤษภาคม 2568 (เสาร์-อาทิตย์ เต็มวัน)
    • Live Online @ Zoom : 13-15 และ 20,21 และ 23 พฤษภาคม 2568 (กลางคืน 20:00-22:00)
    • ราคา Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนพฤษภาคม = ภายใน 30 เม.ย.)

    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Workshop ได้ที่ LINE: @ThepExcelWorkshop

    ThepExcel Public Workshop 2025 17
    QR Line Official @ThepExcelWorkshop

    ⏰ เลือกรูปแบบที่คุณสะดวก

    แบบ 1: ONSITE เต็มวัน (2วัน)

    • เสาร์-อาทิตย์ 9:00 – 17:00 น.
    • สถานที่: โรงแรมสินธร มิดทาวน์ (กทม.)
    • ราคา:
      • ราคาปกติ 8,500 บาท/ท่าน (รวม Vat)
      • กรณีพิเศษที่ได้ราคา 7,500 บาท/ท่าน (รวม Vat)
        • Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) หรือ
        • มาตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป หรือ
        • ลูกค้าเก่า Workshop (ที่สมัครช่วงหมด Early Bird)
      • 🔥 กรณีพิเศษที่ได้ราคา 7,000 บาท/ท่าน (รวม Vat) 🔥
        • ต้องอยู่ในช่วง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) และ กรณีสมัคร 2 คอร์สขึ้นไปพร้อมกัน
        • ต้องอยู่ในช่วง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) และ เป็นลูกค้าเก่า Workshop (รวมถึงคนสมัครร่วม)
    • ฟรี 2 Break และ 1 Lunch / วัน
    • จุดเด่น:
      • เจอกับวิทยากรแบบ face-2-face
      • เรียนกันเข้มข้น สามารถเก่งขึ้นได้ภายใน 2 วัน
      • โอกาสในการ Networking กับวิทยากรและผู้เข้าอบรมท่านอื่น
      • ในการอบรมแบบ Onsite จะมี TA ผู้ช่วย 1-2 ท่าน คอยตอบคำถามข้อสงสัย

    แบบ 2: LIVE ONLINE วันละ 2 ชม. (6วัน กลางคืน)

    • วันที่: กลางคืน 20:00 – 22:00 น. (เรียนสด) เป็นเวลา 6 วัน ใน 2 สัปดาห์
    • ช่องทาง: Live Online ผ่าน Zoom (เรียนสด)
    • ราคา:
      • ราคาปกติ 5,500 บาท/ท่าน (รวม Vat)
      • กรณีพิเศษที่ได้ราคา 4,900 บาท/ท่าน (รวม Vat)
        • Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) หรือ
        • มาตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป หรือ
        • ลูกค้าเก่า Workshop (ที่สมัครช่วงหมด Early Bird)
      • 🔥 กรณีพิเศษที่ได้ราคา 4,500 บาท/ท่าน (รวม Vat) 🔥
        • ต้องอยู่ในช่วง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) และ กรณีสมัคร 2 คอร์สขึ้นไปพร้อมกัน
        • ต้องอยู่ในช่วง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) และ เป็นลูกค้าเก่า Workshop (รวมถึงคนสมัครร่วม)
    • จุดเด่น:
      • เรียนผ่านระบบ Live Online จากที่ไหนก็ได้ ถามคำถามสดๆ ได้
      • แบ่งเรียน 6 คืน (ใน 2 สัปดาห์) ไม่เหนื่อยเกินไป
      • เหมาะสำหรับคนที่ไม่สะดวกมาอบรมในวันหยุด

    วิธีการสมัคร

    1. คลิกที่ปุ่ม “สมัครเลย” หรือ link ด้านล่าง (สามารถสมัครและชำระเงินทีเดียวหลายคน หลายคอร์สได้)
    2. ชำระเงินตามวิธีที่ระบุในรายละเอียดการชำระเงิน
    3. กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มให้ครบถ้วน และแนบหลักฐานการชำระเงินในแบบฟอร์ม

    สมัครเลย ที่ https://forms.gle/1mTWCD8tDqm9M5fz9

    ThepExcel Public Workshop 2025 18
    QR แบบฟอร์มใบสมัคร

    Power BI Workshop 2025
    (มิถุนายน )

    • Onsite ที่โรงแรมที่กรุงเทพ : 14-15 มิถุนายน 2568 (เสาร์-อาทิตย์ เต็มวัน)
    • Live Online @ Zoom : 10-12 และ 17-19 มิถุนายน 2568 (กลางคืน 20:00-22:00)
    • ราคา Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนมิถุนายน = ภายใน 31 พ.ค.)

    สมัครเลย ที่ https://forms.gle/1mTWCD8tDqm9M5fz9

    ThepExcel Public Workshop 2025 18
    QR แบบฟอร์มใบสมัคร

    🎁 สิ่งที่ผู้เข้าอบรมจะได้รับ

    • ใบรับรองการอบรมแบบดิจิทัล (PDF)
    • โอกาสถามคำถามและแก้ไขปัญหาหลังการอบรม
    • เอกสารประกอบการอบรมแบบดิจิทัล (ไฟล์ Excel ประกอบการอบรม และ Slide PDF)
    • สิทธิ์เข้ากลุ่ม Facebook Group พิเศษ ที่จัดให้คนลง Workshop คอร์สนั้นๆ กับเทพเอ็กเซลเท่านั้น
    • สิทธิ์รับชมคลิป VDO ย้อนหลัง เอาไว้ทบทวนหลังการอบรม (ดูผ่าน Facebook Group พิเศษเท่านั้น)
    • สิทธิ์เข้าร่วม Live Online Q&A session ปรึกษาปัญหา Excel ในงานของคุณ หลังจบคอร์ส ฟรี! (แจ้งวันหลังจากเรียนจบ)

    สิ่งที่ต้องเตรียม

    • Notebook ที่ติดตั้ง Excel (ขั้นต่ำเวอร์ชัน 2016 ขึ้นไป แต่แนะนำ Excel 2019 ขึ้นไป) หรือ Power BI Desktop
    • สำหรับผู้เข้าอบรม Onsite: สามารถเช่า Notebook ได้ (เลือกในแบบฟอร์มใบสมัคร)
      • ในราคา 1,000 บาท/คน /2 วัน ( หากรวม vat = 1,070 บาท)

    รายละเอียดการชำระเงิน

    • ถ้าไม่ต้องการให้ออกใบเสนอราคา /ใบแจ้งหนี้ ก่อน ก็สามารถชำระเงิน แล้วแนบหลักฐานการชำระในใบสมัคร ได้เลย
    • ถ้าต้องการให้ออก ใบเสนอราคา /ใบแจ้งหนี้ ก่อน สามารถติดต่อ LINE: @ThepExcelWorkshopได้

    ชำระเงินแล้วแนบหลักฐานการชำระเงินในใบสมัครได้เลย

    ผู้เข้าอบรมทุกท่านจะได้รับใบประกาศนียบัตรและใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ สามารถออกใบกำกับภาษีในนามบริษัทเพื่อใช้เบิกค่าใช้จ่ายได้

    โดยทางเทพเอ็กเซลจะส่งใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีให้ทาง email ผ่านระบบ e-tax invoice by email ซึ่งเป็นวิธีที่ทางกรมสรรพากรอนุญาตให้ใช้ได้

    ราคาค่าอบรม :

    ราคาทุกคอร์สเท่ากันหมด

    กรณีชำระในนามบุคคล

    • ค่าอบรมแบบ 1 : Onsite เสาร์-อาทิตย์
      • ราคาปกติ : 8,500 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
      • ราคากรณีพิเศษ1* : 7,500 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
      • ราคากรณีพิเศษ2** : 7,000 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
    • ค่าอบรมแบบ 2 : Live Online กลางคืน
      • ราคาปกติ : 5,500 บาท/ท่าน (รวม VAT แล้ว )
      • ราคากรณีพิเศษ1* : 4,900 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
      • ราคากรณีพิเศษ2** : 4,500 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
    • *ราคากรณีพิเศษ หมายถึง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) หรือ มาตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป หรือ ลูกค้าเก่า Workshop (ที่สมัครช่วงหมด Early Bird)
    • **ราคากรณีพิเศษ2 หมายถึง
      • ต้องอยู่ในช่วง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) และ กรณีสมัคร 2 คอร์สขึ้นไปพร้อมกัน
      • ต้องอยู่ในช่วง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) และ เป็นลูกค้าเก่า Workshop (รวมถึงคนสมัครร่วม)

    กรณีชำระในนามนิติบุคคล (มี หัก ณ ที่จ่าย 3%)

    • ค่าอบรมแบบ 1 : Onsite เสาร์-อาทิตย์
      • ราคาปกติ : 8,500 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
        • หัก ณ ที่จ่าย 3% = 224.30 บาท
        • ยอดชำระ 7,775.70 บาท/ท่าน (รวม VAT และหัก ณ ที่จ่าย 3% แล้ว)
      • ราคากรณีพิเศษ1* : : 7,500 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
        • หัก ณ ที่จ่าย 3% = 210.28 บาท
        • ยอดชำระ 7,289.72 บาท/ท่าน (รวม VAT และหัก ณ ที่จ่าย 3% แล้ว)
      • ราคากรณีพิเศษ2* : 7,000 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
        • หัก ณ ที่จ่าย 3% = 196.26 บาท
        • ยอดชำระ 6,803.74 บาท/ท่าน (รวม VAT และหัก ณ ที่จ่าย 3% แล้ว)
    • ค่าอบรมแบบ 2 : Live Online กลางคืน
      • ราคาปกติ : 5,500 บาท/ท่าน (รวม VAT แล้ว )
        • หัก ณ ที่จ่าย 3% = 154.21 บาท
        • ยอดชำระ 5,345.79 บาท/ท่าน (รวม VAT และหัก ณ ที่จ่าย 3% แล้ว)
      • ราคากรณีพิเศษ1* : 4,900 บาท/ท่าน (รวม VAT แล้ว )
        • หัก ณ ที่จ่าย 3% = 137.38 บาท
        • ยอดชำระ 4,762.62 บาท/ท่าน (รวม VAT และหัก ณ ที่จ่าย 3% แล้ว)
      • ราคากรณีพิเศษ2* : 4,500 บาท/ท่าน  (รวม VAT แล้ว)
      • หัก ณ ที่จ่าย 3% = 126.17 บาท
      • ยอดชำระ 4,373.83 บาท/ท่าน (รวม VAT และหัก ณ ที่จ่าย 3% แล้ว)
    • *ราคากรณีพิเศษ หมายถึง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) หรือ มาตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป หรือ ลูกค้าเก่า Workshop (ที่สมัครช่วงหมด Early Bird)
    • **ราคากรณีพิเศษ2 หมายถึง
      • ต้องอยู่ในช่วง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) และ กรณีสมัคร 2 คอร์สขึ้นไปพร้อมกัน
      • ต้องอยู่ในช่วง Early Bird (ต้องชำระเงินก่อนเดือนที่เรียนคอร์สนั้นๆ) และ เป็นลูกค้าเก่า Workshop (รวมถึงคนสมัครร่วม)

    ช่องทางการชำระเงิน

    ชำระเงินโดยการโอนเงินค่าอบรมมาที่
    บัญชี ออมทรัพย์ : บริษัท เทพเอ็กเซล จำกัด
    ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

    สาขา บิ๊กซี สะพานควาย
    033-421749-2

    *** ถ้าชำระเงินหลายคอร์ส / หลายคน กรุณากรอกในหมายเหตุ ***

    วิธีการสมัคร

    1. คลิกที่ปุ่ม “สมัครเลย” หรือ link ด้านล่าง (สามารถสมัครและชำระเงินทีเดียวหลายคน หลายคอร์สได้)
    2. ชำระเงินตามวิธีที่ระบุในรายละเอียดการชำระเงิน
    3. กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มให้ครบถ้วน และแนบหลักฐานการชำระเงินในแบบฟอร์ม

    กรอกใบสมัครที่ https://forms.gle/1mTWCD8tDqm9M5fz9

    ThepExcel Public Workshop 2025 18
    QR แบบฟอร์มใบสมัคร

    หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Workshop ได้ที่ LINE: @ThepExcelWorkshop

    ThepExcel Public Workshop 2025 22
    QR Line Official @ThepExcelWorkshop
  • แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ

    หลายคนน่าจะใช้ Power Query (ทั้งใน Excel และ Power BI) ดึงข้อมูลจากไฟล์ต่างๆ ทั้งไฟล์ Excel / CSV หรือแม้กระทั่งดึงหลายๆ ไฟล์จาก Folder ในเครื่องตัวเองมารวมกันได้แล้ว… แต่อาจเริ่มอยากพัฒนาไปอีกขึ้น คือ การเอาแหล่ง Data Source ไปไว้บน Online เลย

    เพราะถ้าเราดึงจากแหล่งออนไลน์ได้ มันดีกว่าการดึงจากเครื่องตรงที่สามารถทำการ Schedule Refresh ให้ Power BI ได้ รวมถึงแหล่งข้อมูลเอาวางไว้ตรงกลาง ให้เพื่อนๆ มาดึงไฟล์ไปใช้ได้

    ว่าแต่การดึงข้อมูลจากแหล่งออนไลน์ด้วย Power Query มันทำยังไงกันแน่? เพราะวิธีมันไม่ได้ตรงไปตรงมานัก

    คนที่เคยพยายาลอง Get Data จากบริการ Online ของ Microsoft เองจะพบว่ามันไม่ง่ายเลย บอกเลยว่า จริงๆ แล้วการดึงจากระบบ Microsoft เผลอๆ อาจยากกว่าดึงจากบริการของ Google ซะอย่างงั้น 555

    ไม่ต้องห่วง เพราะในบทความนี้ผมจะบอกวิธีการดึงโดยละเอียด และท้ายสุด เราจะมีวิธีดึงข้อมูลจาก Folder ที่มันอยู่ในระบบ Online ยังไงให้มัน Work? ใครอยากรู้อ่านต่อได้เลยครับ!

    ดึงข้อมูลจาก Google Sheets

    การดึงข้อมูลจาก Google Sheets ที่ง่ายที่สุดคือให้เรา Publish ข้อมูลบน Google Sheets ก่อน โดยไปที่ File- > Share -> Publish to web (ไม่ใช่กด share link ปกตินะ)

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 23

    แล้วกดเลือกว่าจะ Publish เป็นอะไร ซึ่งตัวที่ผมขอแนะนำคือเป็น Microsoft Excel (.xlsx) เพราะเผื่อว่ามีข้อมูลหลายชีท จะได้ไม่มีปัญหา

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 24

    จากนั้นเราก็จะได้ Link มาซึ่งสามารถเอา URL ที่ได้นี้ไปใช้ใน Power Query โดยเลือก Get Data from Web แล้วแปะ URL แล้ว ok ได้เลย

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 25

    แล้วผลลัพธ์ก็จะเหมือนกับการ Get Data from Excel ปกติ คือเลือก Sheet เลือก Table ได้เลย

    ดึงข้อมูลจาก Google Form

    อันนี้แค่เราทำการกดไปที่ Response ของ Google Form แล้วกด Link to Sheets ก็สามารถทำต่อตามหัวข้อตอนที่ดึงจาก Google Sheets ได้เลย

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 26

    ดึงข้อมูลจาก One Drive Business

    สำหรับอันนี้ วิธีทำ คือให้เข้า one drive for business จนเจอไฟล์ที่ต้องการ แล้วต้องกด … แล้วเลือกเปิดไฟล์ใน Desktop App ก่อน เพื่อให้ได้ File Path มา

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 27

    แล้วกดไปที่ File -> Info -> Copy Path (ไม่ใช่ local นะ)

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 28

    มันจะได้ Link ประมาณนี้

    https://thepexcelcom-my.sharepoint.com/personal/sira_thepexcel_com/Documents/xxxxxx/ThepExcel-data-new.xlsx?web=1

    ให้ตัดที่เขียนว่า ?web=1 ออกไปซะ เหลือแค่ถึง .xlsx ปกติ

    มันจะได้ Link ประมาณนี้

    https://thepexcelcom-my.sharepoint.com/personal/sira_thepexcel_com/Documents/xxxxxx/ThepExcel-data-new.xlsx

    ดึงข้อมูลจาก Microsoft Form

    ปกติ Microsoft Form จะสามารถกดเปิด Response ใน Excel ได้แบบนี้

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 29

    ก็ให้กด Open in desktop app ต่อแบบนี้

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 30

    แล้วก็เข้าไป Copy Path เหมือนเดิม

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 31

    จะได้ Link มา (อย่าลืมลบ ?web=1 ออกล่ะ) แล้วก็ Get Data From Web ได้เลย (อาจต้อง log in ตามปกติ )

    ดึงข้อมูลจาก One Drive Personal

    ถ้าเราดึงข้อมูลจาก OneDrive แบบ personal เช่น เราวาง Excel ไฟล์ไว้ในนั้น ให้เราแชร์มาด้วยวีธีการนี้ ซึ่งค่อนข้าง Tricky มากๆ

    ให้เรากด Share แล้ว Copy Link ตามปกติออกมา จะได้ Link ย่อแบบนี้

    https://1drv.ms/x/s!xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 32

    ให้เอา Link ย่อไปแปะบน Browser หน้าใหม่ แล้ว ok จะได้ Link เต็มแบบนี้

    https://onedrive.live.com/edit?id=xxxxxxx&resid=กกกกกกกกกกกกกก&ithint=file%2cxlsx&authkey=ขขขขขขขขขขขข&wdo=2&cid=xxxxxxx
    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 33

    ให้ Copy Link เต็มออกมาแล้วจัดให้อยู่ในรูปแบบนี้ให้ได้

    หลักๆ แล้วคือเราต้องการค่าของ resid กับ authkey มาให้ได้ ก็จะสามารถ Get Data from Web ปกติแล้วแปะ URL เข้าไปได้เลย

    https://onedrive.live.com/download?resid=กกกกกกกกกกกกกก&authkey=ขขขขขขขขขขขข

    ดึงข้อมูลจาก SharePoint Folder

    ก่อนอื่นให้ไปที่ Folder ที่ต้องการ ซึ่งต้องบอกก่อนว่า วิธีที่ถูกต้องคือต้องวางไฟล์ไว้ใน SharePoint Site ไม่ใช่ One Drive นะครับ (แม้ว่าการวางไว้ใน One Drive พอเข้าไปในเว็บมันจะแสดงว่าอยู่ในเว็บ SharePoint ก็เถอะ)

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 34

    ที่ถูกต้องคือมันต้องมี url ที่มีคำว่า sites แบบนี้

    ให้เรา Copy มาแค่คำที่ต่อจากคำว่า Sites เช่น

    https://thepexcelcom.sharepoint.com/sites/ThepExcel

    ให้เราลอง Get Data จาก SharePoint Folder ด้วย Power BI ดู (เพราะจาก Excel บางทีมันไม่มีปุ่มให้กด)

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 35

    ใส่ Site URL เข้าไป เช่น

    https://thepexcelcom.sharepoint.com/sites/ThepExcel

    Tips: เวลาเข้าระบบของ Microsoft อย่าลืมกด Login ด้วย Microsoft Account นะ จะใช้ Anonymous ไม่ได้นะครับ

    มันจะดึงข้อมูลมาทั้ง Site เลยแบบนี้ ด้วยสูตร M Code ประมาณนี้

    = SharePoint.Files("https://thepexcelcom.sharepoint.com/sites/ThepExcel/", [ApiVersion = 15])
    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 36

    กลายเป็นว่ามันเยอะเกินไป และถ้าเราอยากจะเลือกเฉพาะบาง Folder ต้องไป Filter เอาจาก Folder Path คอลัมน์สุดท้ายทีหลัง ซึ่งจะช้ามากเพราะมันต้องอ่านทุกไฟล์เลย

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 37

    เคล็ดลับคือ ให้เปลี่ยน M Code จาก SharePoint.Files เป็น SharePoint.Contents

    เราจะเห็น Structure ของ Site ออกมาก่อน ไม่ใช่เห็นทุกไฟล์ตามปกติ

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 38

    ถ้า Copy Query หรือ M Code ที่ได้ไปใช้ใน Excel ก็จะได้เหมือนกัน

    แปลว่าสิ่งที่จำเป็นจริงๆ คือ M Code ส่วนแรก อันนี้ (ซึ่งในอนาคต ApiVersion อาจเปลี่ยนไปได้อีก ต้องไปคอยดูว่าใน Power BI เรียกแบบไหน)

    =SharePoint.Contents("https://thepexcelcom.sharepoint.com/sites/ThepExcel/", [ApiVersion = 15])

    พอเข้าไปใน SharePoint Site ด้วย SharePoint.Contents ได้แล้ว เราค่อยเข้าไปใน Object ที่เราต้องการ โดยกดเข้าไปตรง Table ตรงๆ เช่น Shared Documents มันจะเข้าไปทีละชั้นได้ แบบนี้จะ Work กว่ามาก

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 39
    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 40

    ดึงข้อมูลจาก Website ทั่วไป

    ถ้าเว็บนั้นเป็น Public ใครๆ ก็เข้าได้ และมี Static Content พวกตารางอยู่ในหน้านั้น ก็ดึงมาตรงๆ ได้เลย เช่น

    https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อจังหวัดของประเทศไทยเรียงตามพื้นที่

    เวลาเอาเข้า Power Query ก็จะมองเห็นข้อมูบลในเว็บนั้นตามปกติ แล้วก็เลือก Table ที่ต้องการได้เลย

    แนวทางการใช้ Power Query Get Data จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 41

    ดึงข้อมูลจาก Web ผ่าน API

    ถ้าเว็บที่เราจะดึงข้อมูลมี API (Application Programming Interfaces) หรือตัวกลางที่ไว้ใช้สื่อสารในการดึงข้อมูลให้ใช้ ก็สามารถใช้ Power Query ดึงข้อมูลจากเว็บนั้นมาได้ โดยทำตามนี้ (เขียนไว้หลายปีที่แล้ว มีหลายตอนนะ รายละเอียดเยอะ)

    ซึ่งการใช้ API นั้นจริงๆ ค่อนข้างยืดหยุ่นมาก แต่ก็ใช้ความสามารถทางเทคนิคสูงหน่อย อย่างไรก็ตามในยุคนี้เราใช้ AI มาช่วยได้ด้วย ไว้ผมจะเขียนบทความใหม่ให้อีกทีนะครับ

  • ZTEST

    TLDR สรุปสั้นๆ

    ZTEST ใช้ในการทดสอบความน่าจะเป็นแบบ one-tailed ของการทดสอบ z โดยจำเป็นต้องมีข้อมูลค่าเฉลี่ยประชากรที่คาดหมาย

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน ZTEST ใช้ตรวจสอบความน่าจะเป็นแบบ one-tailed ของการทดสอบ z โดยสำหรับค่าเฉลี่ยที่คาดหมายของประชากรที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ZTEST จะคืนค่าความน่าจะเป็นที่ค่าเฉลี่ยของตัวอย่างจะมากกว่าค่าเฉลี่ยของการสังเกตในชุดข้อมูลนั้นๆ

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2003

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    ZTEST(array, x, [sigma])

    Arguments

    • array (Required – Array or Range)
      พิสัยของข้อมูลที่ใช้ในการทดสอบค่า x
    • x (Required – Number)
      ค่าที่ใช้ในการทดสอบ
    • sigma (Optional – Number)
      ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากร (สามารถใช้ได้หรือไม่ก็ได้ ถ้าไม่ใช้จะใช้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูล)

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =ZTEST(A2:A11,4)
      Description: ทดสอบความน่าจะเป็นแบบ one-tailed ของการทดสอบ z สำหรับชุดข้อมูลที่มีค่าเฉลี่ยคาดหมายของประชากรเป็น 4
      Result:0.090574 (ค่าความน่าจะเป็นที่ค่าเฉลี่ยตัวอย่างมากกว่าค่าเฉลี่ยสังเกตในชุดข้อมูล)
    • Formula:
      =2 * MIN(ZTEST(A2:A11,4), 1 - ZTEST(A2:A11,4))
      Description: ทดสอบความน่าจะเป็นแบบ two-tailed ของการทดสอบ z สำหรับชุดข้อมูลที่มีค่าเฉลี่ยคาดหมายของประชากรเป็น 4
      Result:0.181148 (ใช้คำนวณความน่าจะเป็นแบบสองทาง)
    • Formula:
      =ZTEST(A2:A11,6)
      Description: ทดสอบความน่าจะเป็นแบบ one-tailed ของการทดสอบ z สำหรับชุดข้อมูลที่มีค่าเฉลี่ยคาดหมายของประชากรเป็น 6
      Result:0.863043 (ค่าความน่าจะเป็นที่ค่าเฉลี่ยตัวอย่างมากกว่าค่าเฉลี่ยสังเกตในชุดข้อมูล)
    • Formula:
      ZTEST(B2:B10, 5, STDEV.S(B2:B10))
      Description: ใช้ฟังก์ชัน STDEV.S หาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของชุดข้อมูลในช่วง B2:B10 แล้วทำการทดสอบ Z โดยใช้ค่า x เท่ากับ 5 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่คำนวณได้
      Result:แสดงค่าความน่าจะเป็นแบบ one-tailed ส่วนในทางปฏิบัติจริงขึ้นอยู่กับข้อมูลจริงใน B2:B10
    • Formula:
      =NORM.S.DIST(NORM.S.INV(1-ZTEST(A2:A11,4)),TRUE)
      Description: ใช้ NORM.S.DIST และ NORM.S.INV ร่วมกับ ZTEST เพื่อแปลงค่าความน่าจะเป็นให้เป็นค่าต่ำสุดที่ระดับความน่าจะเป็นที่กำหนด
      Result:แสดงค่าความน่าจะเป็นเชิงปริมาณแบบ normalized

    Tips & Tricks

    สำหรับการทดสอบทางสถิติที่เกี่ยวกับการกระจายตามปกติ ZTEST เป็นเครื่องมือที่สำคัญ แต่โปรดระวังเรื่องค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากรต้องมีความเป็นที่ทราบแล้ว หากไม่สามารถรับข้อมูลนี้ได้ให้พิจารณาใช้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่างแทน

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ระวังอย่าลืมใส่ค่าช่วงข้อมูลที่ถูกต้อง มิฉะนั้นอาจส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาด #N/A ถ้าช่วงข้อมูลนั้นว่างเปล่า นอกจากนี้ยังควรระวังการใช้ฟังก์ชันนี้ในกรณีที่มีข้อมูลตัวอย่างขนาดเล็กมาก หรือเมื่อไม่สามารถรู้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากรได้

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • Z.TEST

    TLDR สรุปสั้นๆ

    Z.TEST ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเพื่อหาค่า p-value ว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างจะมากกว่า x ที่ตั้งไว้หรือไม่

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน Z.TEST ใช้ในการหาค่า p-value ทางสถิติของการทดสอบ z-test เพื่อคำนวณความน่าจะเป็นทางด้านเดียวว่าค่าเฉลี่ยของข้อมูลที่สังเกตพบในชุดข้อมูลนั้นจะมากกว่าค่าเฉลี่ยของข้อมูลที่ตั้งสมมุติไว้

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2010

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    Z.TEST(array,x,[sigma])

    Arguments

    • array (Required – Range)
      ชุดของข้อมูลหรือช่วงของข้อมูลที่ต้องการทดสอบกับค่า x
    • x (Required – Number)
      ค่าที่ต้องการทดสอบ
    • sigma (Optional – Number)
      ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากร (หากไม่ระบุ จะใช้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่าง)

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =Z.TEST(A2:A11,4)
      Description: หาค่าความน่าจะเป็นทางด้านเดียวของ z-test เมื่อค่าเฉลี่ยที่ตั้งสมมุติเป็น 4
      Result:0.090574 (ค่าความน่าจะเป็นทางด้านเดียวที่ค่าเฉลี่ยของข้อมูลที่สังเกตเป็นมากกว่า 4)
    • Formula:
      =2 * MIN(Z.TEST(A2:A11,4), 1 - Z.TEST(A2:A11,4))
      Description: หาค่าความน่าจะเป็นทางสองด้านของ z-test สำหรับค่าเฉลี่ยที่ตั้งสมมุติเป็น 4
      Result:0.181148 (ค่าความน่าจะเป็นทางสองด้านว่าจะค่าความจริงของค่าเฉลี่ยที่ตั้งสมมุติจะเบี่ยงเบนจากที่สังเกตในทิศทางใดก็ตามเฉลี่ยมากกว่า 4)
    • Formula:
      =Z.TEST(A2:A11,6)
      Description: หาค่าความน่าจะเป็นทางด้านเดียวของ z-test เมื่อค่าเฉลี่ยที่ตั้งสมมุติเป็น 6
      Result:0.863043 (แสดงว่ามีความน่าจะเป็นที่ค่าการสังเกตจะมากกว่าหรือเท่ากับ 6 สูงมาก)
    • Formula:
      =Z.TEST(A2:A11,6)-0.5
      Description: ใช้เพื่อหาค่าความน่าจะเป็นทางด้านเดียวปรับค่าให้แสดงทิศทางเชิงบวก/ลบ
      Result:ประมาณการความเบี่ยงเบนของความน่าจะเป็นจากค่าเฉลี่ยในทางบวก/ลบ
    • Formula:
      =2*(1-Z.TEST(A2:A11,4))
      Description: คำนวณค่าความน่าจะเป็นทางสองด้านจากข้อมูลอื่น ๆ ในเชิงว่ามากกว่าหรือต่ำกว่าจุดสมมุติฐานเดิม
      Result:จะทำให้เห็นค่าความน่าจะเป็นที่เพิ่มเติมในการเบี่ยงเบนทั้งสองด้าน

    Tips & Tricks

    ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์ในการทดสอบสมมติฐานทางสถิติเมื่อคุณต้องการหาความน่าจะเป็นว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างจะมากกว่าค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ แถมยังสามารถปรับใช้ในการหาค่าความน่าจะเป็นทางสองด้านได้ง่ายเพียงใช้อีกนิพจน์หนึ่งเพิ่มเข้าไป

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    Z.TEST ต้องการให้คุณมีความเข้าใจในสถิติเพื่อที่จะวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้อย่างถูกต้อง ควรระวังเมื่อใช้ค่า x ที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือข้อมูล array ที่ไม่เป็นตัวอย่างของประชากรที่ตั้งใจศึกษา

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • YIELDMAT

    TLDR สรุปสั้นๆ

    YIELDMAT หาผลตอบแทนแบบต่อปีของหลักทรัพย์ ณ วันที่ครบกำหนดการจ่ายดอกเบี้ย

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน YIELDMAT ใช้เพื่อคำนวณอัตราผลตอบแทน (% ต่อปี) ของตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2003

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    YIELDMAT(settlement, maturity, issue, rate, pr, [basis])

    Arguments

    • settlement (Required – date)
      วันที่ที่หลักทรัพย์ถูกซื้อขายให้กับผู้ซื้อ
    • maturity (Required – date)
      วันที่ที่หลักทรัพย์หมดอายุ
    • issue (Required – date)
      วันที่ออกหลักทรัพย์
    • rate (Required – number)
      อัตราดอกเบี้ยขณะที่ออกหลักทรัพย์
    • pr (Required – number)
      ราคาของหลักทรัพย์ต่อมูลค่า face value $100
    • basis (Optional – number)
      ชนิดของฐานการนับวันที่ใช้ (0 ถึง 4)

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =YIELDMAT(A2,A3,A4,A5,A6,A7)
      Description: หาผลตอบแทนสำหรับพันธบัตรตามข้อมูลที่กำหนดในเซลล์ A2 ถึง A7
      Result:6.10% (แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์)
    • Formula:
      =YIELDMAT(DATE(2021,1,1), DATE(2025,1,1), DATE(2020,1,1), 0.05, 95)
      Description: คำนวณอัตราผลตอบแทนสำหรับพันธบัตรที่ออกในปี 2020 มีอัตราดอกเบี้ย 5% ขายที่ราคา 95 หน่วย
      Result:ประมาณ 5.82% (ขึ้นอยู่กับ basis ที่ตั้งไว้เป็นค่า default คือ 0)
    • Formula:
      =YIELDMAT(DATE(2021,6,1), DATE(2022,6,1), DATE(2021,1,1), 0.03, 98, 1)
      Description: หาผลตอบแทนพันธบัตรแบบ actual/actual สำหรับระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม
      Result:ประมาณ 3.08% (การคำนวณวันที่แบบ actual/actual)

    Tips & Tricks

    ตรวจสอบให้มั่นใจว่าคุณป้อนวันที่อย่างถูกต้องโดยใช้ฟังก์ชัน DATE() เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดการคำนวณที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบวันที่

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    วันที่ที่ป้อนในฟังก์ชันนี้ควรเป็นวันที่ใช้ฟังก์ชัน DATE เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจากการป้อนวันที่เป็นข้อความ

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • YIELDDISC

    TLDR สรุปสั้นๆ

    YIELDDISC หาผลตอบแทนรายปีสำหรับหลักทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ย โดยใช้ราคาซื้อและมูลค่าการไถ่ถอน

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน YIELDDISC ใช้หาผลตอบแทนรายปีของหลักทรัพย์ที่ถูกลดราคาหรือส่วนลด (discounted security) เช่น พันธบัตรที่ไม่มีดอกเบี้ย (zero-coupon bond) เป็นต้น

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2003

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    YIELDDISC(settlement, maturity, pr, redemption, [basis])

    Arguments

    • settlement (Required – Date)
      วันที่ที่ซื้อหลักทรัพย์ เป็นวันที่หลังจากวันที่ออกหลักทรัพย์ที่มีการทำการแลกเปลี่ยนกับผู้ซื้อหรือผู้จัดจำหน่าย
    • maturity (Required – Date)
      วันที่ครบกำหนดของหลักทรัพย์หรือวันที่หมดอายุการลงทุนในหลักทรัพย์นี้
    • pr (Required – Number)
      ราคาหลักทรัพย์ต่อมูลค่าหน้าตั๋ว $100
    • redemption (Required – Number)
      มูลค่าการไถ่ถอนของหลักทรัพย์ต่อมูลค่าหน้าตั๋ว $100
    • basis (Optional – Number)
      ประเภทของฐานนับวัน (day count basis)

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =YIELDDISC(DATE(2008,2,16), DATE(2008,3,1), 99.795, 100, 2)
      Description: คำนวณผลตอบแทนสำหรับพันธบัตรที่มีข้อมูลดังนี้: วันที่ซื้อ 16-Feb-08, วันที่ครบกำหนด 1-Mar-08, ราคา 99.795, ราคาถอนคืน $100 โดยใช้ฐาน Actual/360
      Result:0.052823 หรือ 5.28% (ผลตอบแทนรายปีของพันธบัตรที่ถูกลดราคา)
    • Formula:
      =YIELDDISC(DATE(2023,1,15), DATE(2023,12,31), 95, 100)
      Description: คำนวณผลตอบแทนสำหรับหลักทรัพย์ที่หมดอายุในปีเดียวกัน โดยใช้ราคา 95 และราคาไถ่ถอน 100
      Result:0.05263 หรือ 5.263% (ผลตอบแทนที่คิดตามฐานปริยาย US 30/360)
    • Formula:
      =YIELDDISC(DATE(2022,4,1), DATE(2023,4,1), 98, 100, 1)
      Description: กำไรจากพันธบัตรเมื่อราคาซื้ออยู่ที่ 98 และราคาถอนคืน 100 โดยถือครอง 1 ปี ตามฐาน Actual/actual
      Result:0.02041 หรือ 2.041% (ผลตอบแทนคิดครบรอบปีด้วยฐานที่แท้จริง)
    • Formula:
      =YIELDDISC(DATE(2024,1,1), DATE(2024,6,30), 99, 100, 3)
      Description: คำนวณผลตอบแทนสำหรับหลักทรัพย์ 6 เดือน ด้วยราคาซื้อ 99 และราคาถอนคืนที่ 100 โดยใช้ฐาน Actual/365
      Result:0.02083 หรือ 2.083% (ผลตอบแทนคิดรายปีตามฐาน Actual/365)
    • Formula:
      =YIELDDISC(DATE(2023,6,1), DATE(2025,6,1), 97.5, 100, 4)
      Description: ใช้ราคาซื้อ 97.5 สำหรับการลงทุน 2 ปี โดยใช้ฐาน European 30/360
      Result:0.01282 หรือ 1.282% (ผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่ใช้ฐานแบบยุโรป)

    Tips & Tricks

    การเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของเดย์เคาท์ (day count basis) เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะทำให้การคำนวณผลตอบแทนแม่นยำมากขึ้น ลองปรับค่า basis เพื่อดูว่ามีผลอย่างไรต่อความเที่ยงตรงของผลลัพธ์

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    โปรดระวังเรื่องวันที่! วันที่ที่ใส่ควรใช้ฟังก์ชัน DATE เพื่อป้องกันการส่งค่าผิดพลาด ลำดับวันที่ซื้อ (settlement) ควรมาก่อนวันครบกำหนด (maturity) ไม่เช่นนั้นจะได้ #NUM! เป็นผลลัพธ์

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • WEIBULL.DIST

    TLDR สรุปสั้นๆ

    WEIBULL.DIST ใช้คำนวณการแจกแจง Weibull ในการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือได้ง่าย ๆ ด้วยพารามิเตอร์เพียงไม่กี่ตัว.

    คำอธิบาย

    WEIBULL.DIST คือฟังก์ชันใน Excel ที่ใช้คืนค่าการแจกแจง Weibull ซึ่งมักถูกนำไปใช้ในการวิเคราะห์ความเชื่อถือได้ เช่นการคำนวณค่าเฉลี่ยเวลาในการเสียของอุปกรณ์ คิดซะว่ามันเหมือนการบอกเราเมื่อไหร่ที่บางสิ่งจะพังได้ หรือโอกาสที่จะเกิดขึ้นซึ่งเราจะใช้ในทางสถิติ

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2010

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    WEIBULL.DIST(x, alpha, beta, cumulative)

    Arguments

    • x (Required – numeric)
      ค่าที่จะใช้ในการประเมินฟังก์ชัน เช่น ค่าเวลา, จำนวนวัตถุ ฯลฯ
    • alpha (Required – numeric)
      พารามิเตอร์ตัวแรกของการแจกแจง (ใช้กำหนดความชันของกราฟ)
    • beta (Required – numeric)
      พารามิเตอร์ตัวที่สองของการแจกแจง (ใช้กำหนดตำแหน่งของการแจกแจง)
    • cumulative (Required – boolean)
      ระบุรูปแบบของฟังก์ชันว่าจะเป็นแบบสะสม (TRUE) หรือไม่สะสม (FALSE)

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =WEIBULL.DIST(105, 20, 100, TRUE)
      Description: คำนวณค่า Weibull แบบสะสม โดยใช้ค่าจากเซลล์
      Result:0.929581 (เป็นค่าความน่าจะเป็นแบบสะสม)
    • Formula:
      =WEIBULL.DIST(105, 20, 100, FALSE)
      Description: คำนวณค่า Weibull แบบความหนาแน่นของการแจกแจงความน่าจะเป็น
      Result:0.035589 (เป็นค่าความน่าจะเป็นความหนาแน่น)
    • Formula:
      =WEIBULL.DIST(50,10,40,TRUE)
      Description: คำนวณการจัดจำหน่ายแบบสะสมที่ x = 50, alpha = 10, beta = 40
      Result:ผลลัพธ์จะเป็นค่าความน่าจะเป็นสะสมซึ่งใกล้ 1 มากกว่า 0
    • Formula:
      =WEIBULL.DIST(50,10,40,FALSE)
      Description: คำนวณการจัดจำหน่ายแบบไม่สะสมที่ x = 50, alpha = 10, beta = 40
      Result:ผลลัพธ์จะแสดงโอกาสความน่าจะเป็น ณ จุด x ที่ระบุ
    • Formula:
      =WEIBULL.DIST(A1, A2, A3, TRUE)
      Description: ใช้การอ้างอิงค่าจากเซลล์เพื่อคำนวณการแจกแจง Weibull
      Result:ได้เป็นค่าในรูปแบบสะสมจากค่าที่อ้างอิง

    Tips & Tricks

    การใช้ WEIBULL.DIST ในงานวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า x, alpha และ beta ต้องเป็นค่าที่ถูกต้องและเป็นตัวเลข มิฉะนั้นจะได้ค่าผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง.

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    หากใส่ค่า x, alpha หรือ beta ไม่ใช่ตัวเลข Excel จะคืนค่า #VALUE! ซึ่งแปลว่า ค่าที่ใส่มาผิดประเภท. นอกจากนี้ หาก alpha ≤ 0 หรือ beta ≤ 0 จะได้ค่า #NUM! เพื่อบอกว่าอัลกอริธึมไม่รองรับค่าลบ หรือศูนย์เหล่านี้.

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • WEIBULL

    TLDR สรุปสั้นๆ

    WEIBULL ใช้วิเคราะห์การกระจายตัวสำหรับงาน Reliability analysis เช่น Mean Time To Failure.

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน WEIBULL ใช้ในการคืนค่า Weibull distribution ซึ่งถูกใช้ในงานวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ เช่น การคำนวณเวลาการทำงานเฉลี่ยก่อนเครื่องเสีย

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    Excel 2003, หรือ Version ก่อนหน้า

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    WEIBULL(x, alpha, beta, cumulative)

    Arguments

    • x (Required – number)
      ค่าที่จะใช้ประเมินฟังก์ชัน
    • alpha (Required – number)
      พารามิเตอร์แรกของ distribution
    • beta (Required – number)
      พารามิเตอร์ที่สองของ distribution
    • cumulative (Required – boolean)
      กำหนดรูปแบบของฟังก์ชันว่าจะเป็นแบบ cumulative หรือไม่

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =WEIBULL(105, 20, 100, TRUE)
      Description: ฟังก์ชันการแจกแจงสะสมแบบ Weibull สำหรับเงื่อนไขข้างต้น
      Result:0.929581 (เป็นค่าของการคำนวณ cumulative)
    • Formula:
      =WEIBULL(105, 20, 100, FALSE)
      Description: ฟังก์ชันความหนาแน่นน่าจะเป็นแบบ Weibull สำหรับเงื่อนไขข้างต้น
      Result:0.035589 (เป็นค่าของการคำนวณ probability density)
    • Formula:
      =WEIBULL(50, 1.5, 200, TRUE)
      Description: การแจกแจงสะสมแบบ Weibull สำหรับพารามิเตอร์เฉพาะ
      Result:0.117503 (แสดงเป็นค่า cumulative เพราะ cumulative เป็น TRUE)
    • Formula:
      =WEIBULL(50, 1.5, 200, FALSE)
      Description: ความหนาแน่นน่าจะเป็นแบบ Weibull สำหรับพารามิเตอร์เฉพาะ
      Result:0.006979 (แสดงเป็นค่า density เพราะ cumulative เป็น FALSE)
    • Formula:
      =WEIBULL(150, 2, 200, TRUE) + WEIBULL(150, 2, 200, FALSE)
      Description: ผสมการคำนวณฟังก์ชันการแจกแจงสะสมและความหนาแน่นเพื่อแสดง output ทั้งสองแบบ
      Result:ยังเป็นค่าตัวเลขเพราะมีการรวมผลลัพธ์จากฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกัน

    Tips & Tricks

    1. ใช้ฟังก์ชัน WEIBULL เพื่อทำ Reliability Analysis โดยเฉพาะในงานที่ต้องการวิเคราะห์เรื่อง Mean Time To Failure (MTTF). 2. สามารถใช้ WEIBULL เพื่อคาดการณ์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดความล้มเหลวในระบบที่คาดการณ์เฉพาะ.

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    เมื่อใช้งานฟังก์ชัน WEIBULL ต้องระวังเรื่อง การป้อนค่า arguments ให้ถูกต้องตามเงื่อนไข เช่น x ต้องไม่ต่ำกว่า 0, และค่า alpha และ beta ต้องมากกว่า 0 ถ้าไม่เช่นนั้น อาจเกิด #NUM! error ได้

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • WEBSERVICE

    TLDR สรุปสั้นๆ

    WEBSERVICE ดึงข้อมูลจากเว็บเซอร์วิสสำหรับการใช้งานใน Excel โดยใช้ URL เป็นแหล่งที่มา.

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน WEBSERVICE นั้นใช้เพื่อดึงข้อมูลจากเว็บเซอร์วิสบนอินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ตมายัง Excel ของคุณได้โดยตรง!

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2013

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    WEBSERVICE(url)

    Arguments

    • url (Required – string)
      URL ของเว็บเซอร์วิสที่ต้องการเรียกข้อมูล จำเป็นต้องใส่ URL ที่ถูกต้อง มิฉะนั้นฟังก์ชันจะส่งข้อความแสดงข้อผิดพลาด #VALUE!

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =WEBSERVICE("http://mywebservice.com/serviceEndpoint?searchString=Excel")
      Description: ดึงข้อมูลจากเว็บเซอร์วิสที่มี endpoint และพารามิเตอร์เป็น 'searchString=Excel'
      Result:ผลลัพธ์จะเป็น Json, XML หรือข้อความธรรมดาที่เว็บเซอร์วิสส่งกลับมา (เช่น ข้อความที่บอกเกียวกับ Excel)
    • Formula:
      =WEBSERVICE(ENCODEURL("http://example.com/api?q=Excel Tips"))
      Description: ใช้ร่วมกับฟังก์ชัน ENCODEURL เพื่อเข้ารหัส URL ก่อนที่จะใช้ใน WEBSERVICE
      Result:ฟังก์ชันจะแปลง URL เป็นรูปแบบที่ปลอดภัยสำหรับ HTTP request แล้วดึงข้อมูลตามผลลัพธ์ที่ได้รับจากเว็บเซอร์วิส
    • Formula:
      =WEBSERVICE(CONCATENATE("http://api.weather.com/data/", A1))
      Description: รวมฟังก์ชัน CONCATENATE กับ WEBSERVICE โดยมีเงื่อนไขดูจากค่าในเซลล์ A1
      Result:จะดึงข้อมูลสภาพอากาศจากเว็บเซอร์วิสตามค่าที่อยู่ใน A1
    • Formula:
      =WEBSERVICE("http://example.com/api/" & B1)
      Description: รวมค่าที่อยู่ในเซลล์ B1 เข้ากับ URL ก่อนดึงข้อมูล
      Result:ดึงข้อมูลโดยมีเงื่อนไขหรือพารามิเตอร์ที่ถูกเก็บในเซลล์ B1
    • Formula:
      =WEBSERVICE("https://currencyapi.com/latest/USD")
      Description: ดึงข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินล่าสุดจากเว็บเซอร์วิส
      Result:ผลลัพธ์อาจจะเป็น JSON หรือ XML ที่มีค่าของการแปลงสกุลเงินล่าสุด

    Tips & Tricks

    หากคุณต้องการทำงานกับ URL ที่มีเครื่องหมายพิเศษหรือช่องว่าง ใช้ฟังก์ชัน ENCODEURL ก่อนใส่ URL ใน WEBSERVICE เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่เกิดจากอักขระที่ไม่ถูกต้องใน URL.

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    การใช้งาน WEBSERVICE ต้องฐานอยู่บนการทำงานของระบบปฏิบัติการ Windows หากคุณลองใช้กับ Mac จะได้รับข้อผิดพลาด หรือค่าที่บอกว่า WEBSERVICE ไม่มีการรองรับเต็มรูปแบบใน Mac.

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • VDB

    TLDR สรุปสั้นๆ

    VDB คำนวณค่าเสื่อมราคาที่เปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลาที่กำหนด และรองรับวิธีคำนวณแบบดับเบิ้ลดีไคลน์หรืออื่น ๆ

    คำอธิบาย

    VDB ย่อมาจาก Variable Declining Balance ใช้ในการคำนวณค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ตามช่วงเวลาที่กำหนด สามารถใช้วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบดับเบิ้ลดีไคลน์ หรือวิธีอื่น ๆ ที่คุณกำหนดเองได้

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    Excel 2003 หรือก่อนหน้า

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    VDB(cost, salvage, life, start_period, end_period, [factor], [no_switch])

    Arguments

    • cost (Required – number)
      ต้นทุนเริ่มต้นของสินทรัพย์
    • salvage (Required – number)
      มูลค่าสินทรัพย์เมื่อสิ้นสุดการคิดค่าเสื่อมราคา (อาจเป็น 0)
    • life (Required – number)
      จำนวนช่วงเวลาที่สินทรัพย์ถูกคิดค่าเสื่อมราคา
    • start_period (Required – number)
      ช่วงเวลาที่เริ่มต้นการคำนวณค่าเสื่อมราคา
    • end_period (Required – number)
      ช่วงเวลาที่สิ้นสุดการคำนวณค่าเสื่อมราคา
    • factor (Optional – number)
      อัตราการลดทอน ค่าปริยายคือ 2 ถ้าไม่ได้ระบุ
    • no_switch (Optional – boolean)
      ค่าทางตรรกะที่บอกว่าจะเปลี่ยนไปใช้วิธีเส้นตรงหรือไม่ ถ้าเป็น TRUE จะไม่เปลี่ยน

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =VDB(2400, 300, 10*365, 0, 1)
      Description: ค่าเสื่อมราคาของวันแรก โดยใช้ factor = 2
      Result:$1.32 (เป็นจำนวนเงินที่หักออกในวันแรก)
    • Formula:
      =VDB(2400, 300, 10*12, 0, 1)
      Description: ค่าเสื่อมราคาของเดือนแรก
      Result:$40.00 (เป็นจำนวนเงินที่หักออกในเดือนแรก)
    • Formula:
      =VDB(2400, 300, 10, 0, 1)
      Description: ค่าเสื่อมราคาของปีแรก
      Result:$480.00 (เป็นจำนวนเงินที่หักออกในปีแรก)
    • Formula:
      =VDB(2400, 300, 10*12, 6, 18)
      Description: ค่าเสื่อมราคาระหว่างเดือนที่หกถึงเดือนที่สิบแปด
      Result:$396.31 (ค่าเสื่อมราคาในช่วงเวลานี้)
    • Formula:
      =VDB(2400, 300, 10*12, 6, 18, 1.5)
      Description: ค่าเสื่อมระหว่างเดือนที่หกถึงเดือนที่สิบแปด โดยใช้ factor = 1.5
      Result:$311.81 (ค่าเสื่อมราคาในช่วงเวลานี้ ลดลงเพราะ factor น้อยกว่า)

    Tips & Tricks

    VDB มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับให้เข้ากับเวลาหรือสถาณการณ์เฉพาะ เช่น การเปลี่ยนแปลงจากวิธีดับเบิ้ลดีไคลน์ไปเป็นเส้นตรงนั้นมีประโยชน์มากเมื่อต้องการค่าเสื่อมที่แตกต่างไปตามรอบเวลา

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ทุก argument ยกเว้น no_switch ต้องเป็นบวกและ factor ถ้าไม่ระบุจะคำนวณแบบดับเบิ้ลดีไคลน์อัตโนมัติ ระวังว่าการเปิดใช้งาน no_switch อาจทำให้การคำนวณไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • UNICODE

    TLDR สรุปสั้นๆ

    UNICODE คืนค่านั้นกลับมาเป็นรหัส Unicode ของอักขระตัวแรกในข้อความ.

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน UNICODE ใน Excel จะส่งกลับเลขรหัส (code point) ที่สอดคล้องกับอักขระตัวแรกของข้อความที่ระบุ มันคือการคืนค่าสำหรับตัวอักษรที่อยู่ในรูปแบบ Unicode

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2013

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    UNICODE(text)

    Arguments

    • text (Required – string)
      อักขระที่คุณต้องการรู้รหัส Unicode

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =UNICODE(" ")
      Description: หารหัส Unicode ของช่องว่าง (Space)
      Result:32 เป็นเลขที่ใช้อธิบายอักขระช่องว่าง
    • Formula:
      =UNICODE("B")
      Description: หารหัส Unicode ของตัวอักษรตัวใหญ่ "B"
      Result:66 เป็นเลขที่ใช้แทน "B"
    • Formula:
      =UNICODE("ส")
      Description: หารหัส Unicode ของตัวอักษรไทย "ส"
      Result:3626 เป็นรหัส Unicode สำหรับ "ส"
    • Formula:
      =UNICODE("😊")
      Description: หารหัส Unicode ของ emoji หน้าอมยิ้ม
      Result:128522 เป็นเลข Unicode สำหรับอีโมจินี้
    • Formula:
      =IF(UNICODE(A1)>127, "Special Character", "Standard Character")
      Description: ตรวจสอบว่าตัวอักษรในเซลล์ A1 เป็นตัวอักษรพิเศษหรือไม่ โดยดูจากค่ารหัส Unicode ว่าเกิน 127 หรือไม่
      Result:"Special Character" ถ้าเป็นอักษรพิเศษ หรือ "Standard Character" เป็นอักษรปกติ

    Tips & Tricks

    ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์มากเมื่อคุณต้องการตรวจสอบหรือจัดการกับข้อมูลที่มีตัวอักษรพิเศษหรือสัญลักษณ์จากหลายภาษา คุณสามารถใช้ร่วมกับฟังก์ชันอื่นเช่น MID หรือ LEFT เพื่อทำการแยกตัวอักษรและตรวจสอบค่ารหัส Unicode ของแต่ละตัว.

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    UNICODE จะคืนค่าความผิดพลาด #VALUE! หากข้อความนั้นมีบางส่วนที่ไม่ใช่ surrogate ที่สมบูรณ์หรือมีประเภทข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต้องระวังและตรวจสอบข้อมูลให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ใส่เป็นประเภท text ที่มีอักขระที่ถูกต้อง

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • UNICHAR

    TLDR สรุปสั้นๆ

    UNICHAR เปลี่ยนหมายเลข Unicode เป็นอักขระที่สัมพันธ์กัน. ใช้ระวัง #VALUE! ด้วย

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน UNICHAR ใช้เพื่อคืนอักขระ Unicode ตามหมายเลขอักขระที่ระบุ ซึ่งเหมาะสำหรับการแปลงตัวเลข Unicode ให้เป็นตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ตามที่ต้องการ

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2013

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    UNICHAR(number)

    Arguments

    • number (Required – numeric)
      หมายเลข Unicode ที่ต้องการแปลงเป็นอักขระ Unicode ที่สอดคล้องกัน

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =UNICHAR(66)
      Description: คืนค่าอักขระที่หมายเลข Unicode 66 ซึ่งคือ ตัวอักษร B.
      Result:B
    • Formula:
      =UNICHAR(32)
      Description: คืนค่าอักขระที่หมายเลข Unicode 32 ซึ่งคือ ช่องว่าง (space character).
      Result:Space character
    • Formula:
      =UNICHAR(0)
      Description: เมื่อใช้เลข 0 จะได้รับข้อผิดพลาด #VALUE!.
      Result:#VALUE!
    • Formula:
      =UNICHAR(9731)
      Description: คืนค่าที่เป็นสัญลักษณ์ Unicode ซึ่งในกรณีนี้เป็น สัญลักษณ์หิมะ (snowflake).
      Result:
    • Formula:
      =UNICHAR(128515) & " is happy"
      Description: ใช้ร่วมกับข้อความเพื่อแสดงอีโมจิใบหน้ายิ้มแฉ่ง พร้อมด้วยข้อความ 'is happy'
      Result:😃 is happy

    Tips & Tricks

    ฟังก์ชัน UNICHAR นั้นมีประโยชน์ หากคุณต้องการเพิ่มสัญลักษณ์พิเศษหรืออีโมจิ โดยใช้หมายเลข Unicode ที่เหมาะสม. คุณก็สามารถใช้ UNICODE function เพื่อค้นหาหมายเลข Unicode ของอักขระที่มีอยู่ได้.

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    หากคุณใส่หมายเลข Unicode ที่ไม่ถูกต้อง เช่น เลขที่เป็นบางส่วนของ surrogate pair หรือหมายเลขที่เกินขอบเขตที่กำหนด ฟังก์ชันนี้จะคืนค่าข้อผิดพลาด #VALUE! ระวังเพื่อไม่ให้ใส่เลข 0 เพราะจะได้ #VALUE! เช่นกัน!

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • TTEST

    TLDR สรุปสั้นๆ

    TTEST ใช้หาความน่าจะเป็นร่วมกับ Student’s t-Test ว่าสองชุดข้อมูลมีค่าเฉลี่ยเดียวกันหรือไม่

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน TTEST ใน Excel จะใช้ในการทดสอบ Student’s t-Test ซึ่งเป็นวิธีการทางสถิติที่ช่วยตรวจสอบว่าสองชุดข้อมูลมีแนวโน้มจะมาจากกลุ่มประชากรที่มีค่าเฉลี่ยเดียวกันหรือไม่

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2003 หรือ Version ก่อนหน้า

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    TTEST(array1, array2, tails, type)

    Arguments

    • array1 (Required – Array)
      ชุดข้อมูลที่หนึ่ง
    • array2 (Required – Array)
      ชุดข้อมูลที่สอง
    • tails (Required – Number)
      จำนวน tails ของการแจกแจงที่ต้องการ: 1 สำหรับ one-tailed, 2 สำหรับ two-tailed
    • type (Required – Number)
      ชนิดของ t-Test ที่ต้องการทดสอบ: 1 สำหรับ paired, 2 สำหรับ two-sample equal variance, 3 สำหรับ two-sample unequal variance

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =TTEST(A2:A10, B2:B10, 2, 1)
      Description: ทดสอบ t-Test แบบ paired โดยใช้การแจกแจงแบบ two-tailed กับข้อมูลใน A2:A10 และ B2:B10
      Result:0.19602 ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงถึงความน่าจะเป็น
    • Formula:
      =TTEST(A2:A10, B2:B10, 1, 2)
      Description: ทดสอบ t-Test แบบ two-sample equal variance โดยใช้การแจกแจงแบบ one-tailed กับข้อมูลใน A2:A10 และ B2:B10
      Result:ค่าความน่าจะเป็นที่แตกต่างออกไป
    • Formula:
      =TTEST(C2:C10, D2:D10, 1, 3)
      Description: ทดสอบ t-Test แบบ two-sample unequal variance โดยใช้การแจกแจงแบบ one-tailed กับข้อมูลใน C2:C10 และ D2:D10
      Result:ค่าความน่าจะเป็นที่แตกต่างออกไป
    • Formula:
      =TTEST(E2:E10, F2:F10, 2, 1) + TTEST(G2:G10, H2:H10, 2, 1)
      Description: รวมผลลัพธ์ของ t-Test จากสองชุดข้อมูลโดยใช้การแจกแจงแบบ two-tailed และ paired test
      Result:ผลรวมของความน่าจะเป็นสองค่า
    • Formula:
      =IF(TTEST(I2:I10, J2:J10, 2, 3) < 0.05, "Reject null hypothesis", "Fail to reject null hypothesis")
      Description: ใช้ TTEST ร่วมกับ IF เพื่อตัดสินใจว่าควรปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธสมมติฐานว่าง
      Result:ข้อความ "Reject null hypothesis" หรือ "Fail to reject null hypothesis"

    Tips & Tricks

    การเลือกประเภทของ t-Test และ tails ที่เหมาะสมจะทำให้ผลลัพธ์มีความหมายมากขึ้น อย่าลืมว่า tails = 2 จะให้นัยสำคัญที่สูงกว่า tails = 1

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ระวังเวลาที่ใช้ paired t-Test (type=1) กับข้อมูลที่มีจำนวนข้อมูลไม่เท่ากันใน array1 และ array2 เพราะอาจเกิด #N/A error ได้

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • TINV

    TLDR สรุปสั้นๆ

    TINV คือฟังก์ชันที่ใช้หาค่า t-value จากการแจกแจง Student’s t-distribution แบบสองทาง เหมาะกับงานวิจัยทางสถิติให้เกิดความแม่นยำในผลลัพธ์

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน TINV ใช้สำหรับหาค่า t-value จากการแจกแจงของผลการทดสอบ Student’s t-distribution แบบสองทาง โดยต้องการรู้ค่าความเป็นไปได้ที่ระบุโดย require แล้วซึ่งใช้กับการออกแบบการทดสอบสมมติฐานสถิติ

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2003 หรือก่อนหน้า

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    TINV(probability,deg_freedom)

    Arguments

    • probability (Required – number)
      ความแน่นอนหรือค่าความเป็นไปได้ที่สัมพันธ์กับการแจกแจง Student’s t-distribution แบบสองทาง
    • deg_freedom (Required – integer)
      จำนวนองศาเสรีภาพที่ใช้จำแนกการแจกแจง

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =TINV(0.05464,60)
      Description: หาค่า t-value ของการแจกแจง t-distribution โดยอิงจาก arguments ที่ระบุใน A2 และ A3
      Result:1.96
    • Formula:
      =TINV(0.1,10)
      Description: หา t-value ของ t-distribution ที่ probability=0.1 และ degrees of freedom=10
      Result:1.812462
    • Formula:
      =TINV(0.05,20)
      Description: หา t-value ของ t-distribution ที่ probability=0.05 และ degrees of freedom=20
      Result:2.52798
    • Formula:
      =TINV(2*0.025,15)
      Description: ตัวอย่างซับซ้อน: ใช้หาค่า t-value แบบ one-tailed โดยเกิดจากการใส่ค่า probability เป็นสองเท่า (probability=0.05) และ degrees of freedom=15
      Result:2.60489
    • Formula:
      =TINV(0.01,30) + T.DIST(2.5,30,TRUE)
      Description: หาการรวมกันของฟังก์ชัน TINV และ T.DIST สำหรับค่าความเป็นไปได้ 0.01 และโดยรวมผลการแจกแจงเพิ่มเติม
      Result:ผลรวมที่ได้ซึ่งส่วนหนึ่งของค่า t-value และลักษณะของการแจกแจง

    Tips & Tricks

    การใช้ TINV กับความน่าเชื่อถือต่างๆ ช่วยในกระบวนการตัดสินใจทางสถิติ โดยเปลี่ยนการแจกแจงเป็น one-tailed ด้วยการปรับค่า probability เป็นสองเท่า สามารถใช้ฟังก์ชันนี้ออกแบบการทดสอบกับข้อมูลที่ต้องการสอบถามความสัมพันธ์หรือความแตกต่างได้

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ฟังก์ชัน TINV ถูกแทนที่โดยฟังก์ชันใหม่ที่มีความแม่นยำมากกว่า และอาจถูกยกเลิกในอนาคต ดังนั้นควรพิจารณาใช้ฟังก์ชันใหม่เพื่อความถูกต้องและการใช้งานในอนาคต ฟังก์ชันนี้ต้องการ argumens ที่เป็นตัวเลขเท่านั้น หากมีค่าฝังไม่เป็นตัวเลขจะเกิด error และ ฟังก์ชันใช้การคำนวณแบบอิงการวนลูปเพื่อหาแก้ไขปัญหาอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของความแม่นยำ

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • TDIST

    TLDR สรุปสั้นๆ

    TDIST หาค่า probability สำหรับ t-distribution นิยมใช้ทดสอบสมมติฐานกับตัวอย่างขนาดเล็ก

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณความน่าจะเป็น (Probability) ของการแจกแจงแบบ t (t-distribution) โดยเฉพาะในการทดสอบสมมติฐานกับข้อมูลตัวอย่างขนาดเล็ก ทีนี้ฟังก์ชันนี้ออกแบบมาเพื่อใช้แทนตารางของค่าเทียบเคียงแบบ t-distribution ซึ่งมีประโยชน์มากในงานสถิติ

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2003 หรือ version ก่อนหน้า

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    TDIST(x, deg_freedom, tails)

    Arguments

    • x (Required – number)
      ค่าตัวเลขที่ต้องการคำนวณการแจกแจง t-distribution
    • deg_freedom (Required – integer)
      จำนวนองศาอิสระ (Degrees of freedom) ค่าจำนวนเต็มที่ใช้ระบุตัวอย่าง
    • tails (Required – integer)
      ระบุจำนวน tails ของการแจกแจง t-distribution: ถ้าเป็น 1 ฟังก์ชันจะคืนค่า one-tailed distribution ถ้าเป็น 2 จะเป็น two-tailed distribution

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =TDIST(1.96,60,2)
      Description: คำนวณการแจกแจงแบบ two-tailed distribution สำหรับค่า 1.96 และองศาอิสระ 60
      Result:5.46% (หรือ 0.0546)
    • Formula:
      =TDIST(1.96,60,1)
      Description: คำนวณการแจกแจงแบบ one-tailed distribution สำหรับค่า 1.96 และองศาอิสระ 60
      Result:2.73% (หรือ 0.0273)
    • Formula:
      =TDIST(2.58,120,2)
      Description: ตัวอย่างนี้จะคำนวณค่าในแบบ two-tailed distribution สำหรับค่า 2.58 และองศาอิสระ 120 เพื่อดูความน่าจะเป็นที่ค่าสุ่มจะสูงกว่า 2.58 หรือต่ำกว่า -2.58
      Result:0.01 (หรือ 1%)
    • Formula:
      =TDIST(0,10,2)
      Description: ในกรณีที่ค่า x เป็น 0 ใช้สอง-tailed จะคืนค่าความน่าจะเป็นทั้งหมด 1 หรือ 100% ซึ่งหมายความว่าครอบคลุมทุกค่าวันที่มากกว่า 0 และน้อยกว่า 0
      Result:1 (หรือ 100%)
    • Formula:
      =TDIST(3,30,1) + TDIST(3,30,1)
      Description: ใช้ TDIST ร่วมกับการบวกเพื่อเทียบค่าในการแจกแจงแบบ two-tailed โดยการบวกค่า one-tailed 2 ครั้ง
      Result:ค่าเดียวกับ two-tailed distribution ของค่า x = 3, deg_freedom=30

    Tips & Tricks

    ลองใช้ TDIST ทำการคำนวณความน่าจะเป็นแบบ two-tailed เพื่อตรวจสอบสมมติฐานในข้อมูลตัวอย่างขนาดเล็กได้รวดเร็วและเพิ่มความแม่นยำในการทดสอบสมมติฐาน

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ควรระวังเรื่องการใช้ x ที่มีค่าน้อยกว่า 0 เพราะฟังก์ชันจะคืนค่า #NUM! หรือต้องระบุจำนวน tails ที่ถูกต้อง มิฉะนั้น TDIST จะคืนค่า #NUM! อีกทั้งอย่าลืมว่า Deg_freedom ต้องมากกว่า 0 และเป็นจำนวนเต็ม รู้ไว้ว่า TDIST ถูกแทนที่ด้วยฟังก์ชันที่มีความแม่นยำขึ้นใน Excel เวอร์ชันใหม่ ควรลองศึกษาเกี่ยวกับฟังก์ชันใหม่ๆ ด้วย

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • TBILLYIELD

    TLDR สรุปสั้นๆ

    TBILLYIELD คำนวณอัตราผลตอบแทนของ Treasury bill จากวันชำระ วันครบกำหนด และราคาต่อ $100

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน TBILLYIELD ใน Excel ช่วยให้คุณคำนวณอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ประเภท Treasury bill ได้อย่างง่ายๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้วันชำระ (settlement date), วันครบกำหนด (maturity date) และราคาของตราสารหนี้ต่อมูลค่า $100 เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    Excel 2003

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    TBILLYIELD(settlement, maturity, pr)

    Arguments

    • settlement (Required – Date)
      วันที่มีการซื้อขายตราสารหนี้กับผู้ซื้อ ใช้ในการคำนวณว่าเริ่มต้นนับจากวันไหน
    • maturity (Required – Date)
      วันที่ครบกำหนดของตราสารหนี้ซึ่งจะระบุมูลค่าที่ต้องชำระคืน
    • pr (Required – Number)
      ราคาต่อมูลค่า $100 ของตราสารหนี้

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =TBILLYIELD(DATE(2008,3,31), DATE(2008,6,1), 98.45)
      Description: คำนวณผลตอบแทนจาก Treasury bill โดยใช้วันชำระ 31 มีนาคม 2008 และวันครบกำหนด 1 มิถุนายน 2008 ราคาต่อ $100 คือ $98.45
      Result:9.14% (แสดงให้เห็นว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารคือ 9.14%)
    • Formula:
      =TBILLYIELD(DATE(2023,4,5), DATE(2023,7,5), 99.5)
      Description: คำนวณผลตอบแทนจาก Treasury bill ที่มีวันชำระวันที่ 5 เมษายน 2023 และวันครบกำหนดวันที่ 5 กรกฎาคม 2023 หมายถึงราคารอบนี้ที่ $99.5 ต่อ $100
      Result:ประมาณ 2.01% (แสดงถึงอัตรผลตอบแทนในช่วงที่กำหนดนี้)
    • Formula:
      =TBILLYIELD(DATE(2020,1,1), DATE(2020,12,31), 97)
      Description: ตัวอย่างนี้แสดงการคำนวณสำหรับ Treasury ที่ครบ 1 ปี ด้วยราคาต่อ $100 ที่ $97
      Result:ประมาณ 3.01% (ผลตอบแทนตลอดช่วงปีนี้)

    Tips & Tricks

    ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าป้อนวันเป็นรูปแบบที่ Excel เข้าใจได้อย่างถูกต้อง เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด เช่น ใช้ DATE ฟังก์ชันจะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    หากวันชำระหรือวันครบกำหนดที่ป้อนมีรูปแบบไม่ถูกต้อง หรือเป็นวันในอนาคตกว่า 1 ปีจากวันชำระ TBILLYIELD อาจส่งผลให้เกิด error ขึ้นได้ เช่น #VALUE! หรือ #NUM!

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • TBILLPRICE

    TLDR สรุปสั้นๆ

    TBILLPRICE ใช้ในการหาค่าราคาของบิลคลังตามอัตราส่วนลดและวันที่ที่กำหนด

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชันนี้จะใช้ในการคำนวณราคาต่อ $100 ของบิลคลัง (Treasury Bill) ซึ่งใช้อัตราส่วนลดที่กำหนดให้เพื่อช่วยให้คุณรู้ว่าควรจะจ่ายเท่าไหร่เมื่อถึงวันที่ส่งมอบหรือขณะที่บิลคลังถูกซื้อขาย

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    Excel 2003 หรือก่อนหน้า

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    TBILLPRICE(settlement, maturity, discount)

    Arguments

    • Settlement (Required – date)
      วันที่ที่บิลคลังถูกตกลงซื้อขาย เป็นวันที่ที่บิลคลังถูกซื้อโดยผู้ซื้อ
    • Maturity (Required – date)
      วันหมดอายุของบิลคลัง ซึ่งเป็นวันที่บิลคลังหมดอายุการใช้งาน
    • Discount (Required – number)
      อัตราส่วนลดของบิลคลัง

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =TBILLPRICE(DATE(2008,3,31), DATE(2008,6,1), 0.09)
      Description: คำนวณราคาของบิลคลัง โดยมีวันซื้อขายเป็นวันที่ 31 มีนาคม 2008 และวันหมดอายุเป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2008 โดยใช้อัตราส่วนลด 9%
      Result:$98.45
    • Formula:
      =TBILLPRICE(DATE(2023,1,15), DATE(2023,4,15), 0.05)
      Description: คำนวณราคาของบิลคลัง โดยมีวันซื้อขายเป็นวันที่ 15 มกราคม 2023 และวันหมดอายุเป็นวันที่ 15 เมษายน 2023 โดยใช้อัตราส่วนลด 5%
      Result:ราคาต่อ $100
    • Formula:
      =TBILLPRICE(DATE(2023,2,1), DATE(2023,8,1), 0.12)
      Description: คำนวณราคาของบิลคลัง โดยมีวันซื้อขายเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2023 และวันหมดอายุเป็นวันที่ 1 สิงหาคม 2023 โดยใช้อัตราส่วนลด 12%
      Result:ราคาต่อ $100
    • Formula:
      =TBILLPRICE(DATE(2023,1,10), DATE(2024,1,10), 0.08)
      Description: ตัวอย่างที่ซับซ้อน โดยบิลคลังมีอายุครบ 1 ปีเต็ม ใช้สำหรับทดลองฟังก์ชันในกรณีที่ถึงวันที่หมดอายุพอดีใช้ส่วนลด 8%
      Result:จะได้ #NUM! เนื่องจาก maturity date มากกว่า 1 ปี

    Tips & Tricks

    ใช้ฟังก์ชัน DATE ในการระบุวันที่ในอาร์กิวเม้นต์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการป้อนวันที่ไม่ถูกต้อง และมั่นใจได้ว่าทุกวันถูกแปลงในรูปแบบตัวเลขวันต่อเนื่องที่ Excel เก็บไว้

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ตรวจสอบให้แน่ใจว่า วันที่ซื้อขาย (settlement) ต้องมาก่อนหรือเท่ากับวันหมดอายุ (maturity) และ maturity date ต้องไม่เกินกว่า 1 ปีหลังจากวันที่ซื้อขาย ไม่เช่นนั้นจะได้รับข้อผิดพลาด #NUM!

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • TBILLEQ

    TLDR สรุปสั้นๆ

    TBILLEQ คำนวณผลตอบแทนในรูปแบบพันธบัตรจาก Treasury bill สำคัญในการใช้วันที่รูปแบบที่ถูกต้อง

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชัน TBILLEQ ใช้ในการคำนวณหาผลตอบแทนในรูปแบบของผลตอบแทนพันธบัตรให้กับ Treasury bill ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    Excel 2003 หรือ Version ก่อนหน้า

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    TBILLEQ(settlement, maturity, discount)

    Arguments

    • settlement (Required – Date)
      วันที่ทำการซื้อขาย Treasury bill ที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ออกหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นวันที่ที่ผู้ซื้อได้ทำการซื้อขาย Treasury bill
    • maturity (Required – Date)
      วันที่ที่ Treasury bill หมดอายุหรือวันนี้ที่ต้องชำระเงินคืน
    • discount (Required – Double)
      อัตราส่วนลดของ Treasury bill

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =TBILLEQ(DATE(2008,3,31), DATE(2008,6,1), 9.14%)
      Description: คำนวณ Bond equivalent yield โดยใช้วันที่ทำการซื้อขายวันที่ 31 มีนาคม 2008, วันที่ครบกำหนดวันที่ 1 มิถุนายน 2008 และอัตราส่วนลด 9.14%
      Result:9.42% (ตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์ แสดงถึงผลตอบแทนแบบพันธบัตร)
    • Formula:
      =TBILLEQ(DATE(2022,1,15), DATE(2022,4,15), 8%)
      Description: คำนวณ Bond equivalent yield โดยใช้วันที่ทำการซื้อขายวันที่ 15 มกราคม 2022, วันที่ครบกำหนดวันที่ 15 เมษายน 2022 และอัตราส่วนลด 8%
      Result:ผลลัพธ์จะเป็นเปอร์เซ็นต์ของ yield แบบพันธบัตร
    • Formula:
      =TBILLEQ(DATE(2023,1,1), DATE(2023,12,1), 5.5%)
      Description: คำนวณ Bond equivalent yield เมื่อ Treasury bill มีอายุนานตลอดปี โดยใช้วันที่ทำการซื้อขายวันที่ 1 มกราคม 2023, วันที่ครบกำหนดวันที่ 1 ธันวาคม 2023 และอัตราส่วนลด 5.5%
      Result:ผลลัพธ์จะเป็นเปอร์เซ็นต์ของ yield แบบพันธบัตร
    • Formula:
      =TBILLEQ(DATE(2023,1,1), DATE(2023,6,30), 99%)
      Description: เมื่อกำหนดอัตราส่วนลดที่สูงมาก ๆ ตัวอย่างนี้แสดงถึงเหตุผลว่าทำไมต้องระวังการใช้อัตราส่วนลดที่เกือบจะเต็ม
      Result:อาจเกิด #NUM! เนื่องจากอัตราส่วนลดที่ไม่สมเหตุสมผล
    • Formula:
      =TBILLEQ(A1, A2, A3)
      Description: การใช้ฟังก์ชัน TBILLEQ จากเซลล์ที่ระบุวันที่ซื้อขาย, วันที่ครบกำหนด, และอัตราส่วนลดที่เก็บไว้ในเซลล์ A1, A2, และ A3
      Result:แสดงผลตอบแทนในรูปแบบเปอร์เซ็นต์แบบพันธบัตร

    Tips & Tricks

    การใช้ DATE ฟังก์ชันใน Excel ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากการใส่วันที่โดยตรงเป็น text ซึ่งอาจทำให้เกิด error ได้

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ต้องระบุวันที่เป็นวันที่จริงเท่านั้น (ใช้ฟังก์ชัน DATE เพื่อความแน่นอน) เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด เนื่องจากฟังก์ชันนี้ไม่รองรับการใส่วันที่แบบ Text

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • TANH

    TLDR สรุปสั้นๆ

    TANH คืนค่าแทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิกของตัวเลข ใช้ในคณิตศาสตร์และเครือข่ายประสาทเทียม

    คำอธิบาย

    คืนค่าแทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิกของตัวเลข ซึ่งเป็นฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่มีการใช้งานในด้านการคำนวณที่เกี่ยวข้องกับศูนย์วิธีการในพื้นที่คณิตศาสตร์ และการเครือข่ายประสาทเทียม เป็นต้น

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2003 หรือ Version ก่อนหน้า

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    TANH(number)

    Arguments

    • number (Required – number)
      ตัวเลขจริงใดๆ ที่ต้องการหาค่าแทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิก

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =TANH(-2)
      Description: แทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิกของ -2
      Result:-0.96403 (เป็นค่าที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของ -2 ที่มีค่าใกล้เคียงกับ -1 ซึ่งเป็นลักษณะของฟังก์ชันแทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิก)
    • Formula:
      =TANH(0)
      Description: แทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิกของ 0
      Result:0 (เนื่องจากคุณสมบัติของฟังก์ชัน แทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิกที่ 0 จะมีค่าเป็น 0)
    • Formula:
      =TANH(0.5)
      Description: แทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิกของ 0.5
      Result:0.462117 (ค่าที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของ 0.5 ในกราฟแทนเจนต์ไฮเปอร์โบลิก)

    Tips & Tricks

    ฟังก์ชัน TANH ใช้ในการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสมการเชิงเส้นและข้อจำกัดในเครือข่ายประสาทเทียม การใช้ TH tanh ในการถ่ายโอนแบบนอนลิเนียร์ในโครงข่ายประสาทเทียมจะช่วยให้สามารถเรียนรู้และคาดการณ์รูปแบบที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ระวังความแตกต่างของการแสดงผลเมื่อใช้ TANH กับค่าที่มีขนาดเล็กมากหรือมากเป็นพิเศษเนื่องจากค่าอาจมีการปัดเศษในแบบดิจิตอลซึ่งอาจส่งผลต่อคำตอบที่ได้

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • T.TEST

    TLDR สรุปสั้นๆ

    T.TEST ใช้หาค่าความน่าจะเป็นที่สองกลุ่มตัวอย่างมาจากประชากรที่มีค่าเฉลี่ยเดียวกัน โดยใช้ Student’s t-Test

    คำอธิบาย

    T.TEST ใช้สำหรับหาค่าความน่าจะเป็นที่สองกลุ่มตัวอย่างจะมาจากประชากรที่มีค่าเฉลี่ยเดียวกัน ฟังก์ชันนี้ใช้ Student’s t-Test ซึ่งเหมาะสำหรับการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของสองกลุ่มตัวอย่าง

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2010

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    T.TEST(array1,array2,tails,type)

    Arguments

    • array1 (Required – Range or Array)
      ชุดข้อมูลแรก ซึ่งต้องการเปรียบเทียบ
    • array2 (Required – Range or Array)
      ชุดข้อมูลที่สอง ซึ่งต้องการเปรียบเทียบ
    • tails (Required – Number)
      ระบุจำนวน tails ของการแจกแจง ถ้าเป็น 1 จะใช้ one-tailed distribution ถ้าเป็น 2 จะใช้ two-tailed distribution
    • type (Required – Number)
      ระบุประเภทของการทดสอบ t-Test ที่จะใช้ เช่น 1 คือ Paired, 2 คือ Two-sample equal variance, 3 คือ Two-sample unequal variance

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =T.TEST(A2:A10,B2:B10,2,1)
      Description: หาค่าความน่าจะเป็นของการทดสอบ t-Test แบบ paired โดยใช้ two-tailed distribution
      Result:0.196016 (เป็นค่าตัวเลขที่บอกถึงความน่าจะเป็น)
    • Formula:
      =T.TEST(C1:C10,D1:D10,1,2)
      Description: หาค่าความน่าจะเป็นของการทดสอบ t-Test แบบ two-sample equal variance โดยใช้ one-tailed distribution
      Result:ค่าอาจเป็น 0.05 (ถ้าค่าความน่าจะเป็นต่ำกว่า 0.05 แปลว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ)
    • Formula:
      =T.TEST(E1:E10,F1:F10,2,3)
      Description: หาค่าความน่าจะเป็นของการทดสอบ t-Test แบบ two-sample unequal variance โดยใช้ two-tailed distribution
      Result:ขึ้นกับข้อมูลจริง แต่ถ้าสูงกว่า 0.05 อาจบอกว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
    • Formula:
      =AVERAGE(A2:A10)-AVERAGE(B2:B10)
      Description: ใช้ T.TEST ร่วมกับการหาค่าเฉลี่ย เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างสองกลุ่ม
      Result:ค่าต่างของค่าเฉลี่ย ถ้าใช้ T.TEST แล้วได้ค่าต่ำกว่า 0.05 อาจมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
    • Formula:
      =IF(T.TEST(A2:A10,B2:B10,2,3)<0.05,"Significant","Not Significant")
      Description: ใช้ T.TEST ร่วมกับ IF เพื่อแสดงข้อความบอกความมีนัยสำคัญของข้อมูล
      Result:"Significant" หรือ "Not Significant" ตามเงื่อนไขที่ตรวจสอบ

    Tips & Tricks

    เพื่อผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ควรตรวจสอบว่าข้อมูลใน array1 และ array2 มีการแจกแจงปกติ หรือไม่ ถ้าตัวอย่างมีขนาดเล็ก ควรระมัดระวังในการตีความหมายผลลัพธ์จาก T.TEST

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    อย่าลืมว่า array1 และ array2 ต้องมีจำนวนข้อมูลเท่ากันถ้าใช้ paired t-Test (type = 1) และ tails ต้องเป็น 1 หรือ 2 เท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะได้ค่า error ควรตรวจสอบว่าข้อมูลที่ใช้มีการแจกแจงปกติ และไม่มี outliers ที่มีผลต่อการทดสอบ

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • T.INV.2T

    TLDR สรุปสั้นๆ

    T.INV.2T ใช้หาค่าของสองด้านของการแจกแจง t ตามความน่าจะเป็นและจำนวนดีกรีของอิสระที่กำหนด

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชันนี้ใช้ในการหาค่า t-score สองด้าน (two-tailed t-score) ของการแจกแจง Student’s t-distribution ซึ่งโดยทั่วไปใช้ในการทดสอบสมมติฐานทางสถิติ หากคุณมีความน่าจะเป็นที่ต้องการและจำนวนดีกรีของความเป็นอิสระ (degrees of freedom) ฟังก์ชันนี้จะช่วยคำนวณค่า t ที่สัมพันธ์กับข้อมูลเหล่านั้นได้

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2010

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    T.INV.2T(probability, deg_freedom)

    Arguments

    • probability (Required – number)
      ค่าความน่าจะเป็นที่คุณต้องการเปรียบเทียบกับการแจกแจง t-distribution
    • deg_freedom (Required – number)
      จำนวนดีกรีของความเป็นอิสระที่ใช้ในการแจกแจง

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =T.INV.2T(0.546449, 60)
      Description: ค่าของ t-score สำหรับความน่าจะเป็น 0.546449 และ degree of freedom 60
      Result:0.606533 (ผลลัพธ์เป็นเลขจริง)
    • Formula:
      =T.INV.2T(0.05, 10)
      Description: คำนวณค่า t-score สำหรับค่า confidence level 95% และ degree of freedom 10
      Result:2.28139 (ค่าดังกล่าวแสดงถึงค่าที่ต่ำกว่า 5% ของการแจกแจง t)
    • Formula:
      =T.INV.2T(0.01, 5)
      Description: ค่าของ t-score สำหรับความน่าจะเป็น 0.01 และ degree of freedom 5
      Result:4.03214 (แสดงผลอย่างเป็นเหตุเป็นผลจากการกระจายระดับต่ำ)
    • Formula:
      =T.INV.2T(0.10*2, 15)
      Description: การค้นหาค่า one-tailed t-score โดยใช้ T.INV.2T แทนที่ T.INV เป็นการประยุกต์ใช้ฟังก์ชันเพื่อหาค่า t เมื่อ probability เป็น 0.10 และ degree of freedom 15
      Result:1.341798 (หมายถึงค่า t-score สำหรับ one-tailed test)
    • Formula:
      =T.INV.2T(T.DIST.2T(2, 10, TRUE), 10)
      Description: ใช้ T.DIST.2T เพื่อสร้าง probability และให้ T.INV.2T คำนวณหา t-score จริง
      Result:ประมาณค่า t ที่ใกล้เคียงที่ใช้ในความน่าจะเป็นที่คำนวณกำหนด (มักจะใช้ในการพิสูจน์ความแม่นยำ)

    Tips & Tricks

    หากต้องการคำนวณ one-tailed t-score คุณสามารถนำความน่าจะเป็นที่ต้องการมาใช้คูณสอง แล้วใช้ในฟังก์ชัน T.INV.2T เพื่อประยุกต์หาค่าที่ต้องการได้

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    T.INV.2T ต้องการให้ทุกค่าที่ป้อนเป็นตัวเลข มิฉะนั้นจะเกิดข้อผิดพลาด #VALUE! ถ้าความน่าจะเป็นอยู่นอกช่วงที่ 0 < probability <= 1 จะพบข้อผิดพลาด #NUM! อีกทั้ง deg_freedom ที่ไม่ใช่จำนวนเต็มจะถูกปัดเศษโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจทำให้ผลการคำนวณคลาดเคลื่อนได้

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • T.INV

    TLDR สรุปสั้นๆ

    T.INV หาค่ากลับของการกระจายแบบ t ของ Student ซึ่งมีประโยชน์ในการวิเคราะห์สถิติและการทดสอบสมมติฐาน เน้นไปที่ค่าสำหรับด้านซ้ายของกราฟ

    คำอธิบาย

    T.INV ใช้ในการหาค่ากลับของการกระจายแบบ t ของ Student ที่เป็นแบบด้านซ้าย หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันจะหาค่าที่มีพื้นที่ทางซ้ายใต้กราฟ t-distribution ตามความน่าจะเป็นและระดับอิสระที่กำหนด

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2010

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    T.INV(probability,deg_freedom)

    Arguments

    • probability (Required – number)
      ความน่าจะเป็นที่สัมพันธ์กับการกระจายแบบ t ของ Student ซึ่งควรเป็นค่าระหว่าง 0 ถึง 1
    • deg_freedom (Required – number)
      จำนวนระดับอิสระที่ใช้ในการลักษณะการกระจาย ควรเป็นจำนวนที่มากกว่า 0 และจะถูกปัดเศษลงถ้าไม่เป็นจำนวนเต็ม

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =T.INV(0.75,2)
      Description: หาค่ากลับของ t-distribution แบบด้านซ้ายที่มีความน่าจะเป็น 75% และระดับอิสระ 2
      Result:0.8164966
    • Formula:
      =T.INV(0.95,10)
      Description: หาค่ากลับของ t-distribution แบบด้านซ้ายที่มีความน่าจะเป็น 95% และระดับอิสระ 10
      Result:1.812461122
    • Formula:
      =T.INV(0.25,5)
      Description: หาค่ากลับของ t-distribution แบบด้านซ้ายที่มีความน่าจะเป็น 25% และระดับอิสระ 5
      Result:-0.584317
    • Formula:
      =AVERAGE(T.INV(0.25,5), T.INV(0.95,5))
      Description: คำนวณค่าเฉลี่ยของค่ากลับของ t-distribution ที่มีความน่าจะเป็น 25% และ 95% สำหรับระดับอิสระ 5
      Result:0.856072
    • Formula:
      =T.INV(T.DIST(1.5,10,TRUE), 10)
      Description: ใช้ T.DIST เพื่อคำนวณความน่าจะเป็นล่วงหน้า แล้วใช้ T.INV หาค่ากลับอีกที
      Result:1.5

    Tips & Tricks

    ถ้าต้องการใช้ T.INV แล้วให้ผลเป็นค่าบวกหรือค่าที่มีความหมาย ให้แน่ใจว่า probability อยู่ในช่วงที่เหมาะสม และ deg_freedom เป็นค่ามากกว่า 0.5 นอกจากนี้ ถ้าต้องการคำนวณค่าตามความน่าจะเป็นที่ต่ำมาก ควรตรวจสอบว่า deg_freedom มากพอที่จะให้ผลลัพธ์ที่มีความหมายทางสถิติ

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ระวังอย่าใส่ probability ที่ไม่อยู่ระหว่าง 0 และ 1 เพราะจะทำให้เกิด #NUM! error นอกจากนี้ ถ้าใส่ deg_freedom ที่น้อยกว่า 1 ก็จะได้ error เช่นกัน ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ควรระวังไว้ และค่าที่ไม่ใช่ตัวเลขจะทำให้เกิด #VALUE! error

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • T.DIST.RT

    TLDR สรุปสั้นๆ

    T.DIST.RT ใช้สำหรับการหาค่าความน่าจะเป็นทางด้านขวาของการแพร่กระจาย t เหมาะในการทดสอบสมมติฐานสำหรับข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเล็ก

    คำอธิบาย

    ส่งคืนการกระจาย t ของ Student ทางด้านขวา (the right-tailed distribution) ฟังก์ชันนี้ใช้ในการทดสอบสมมติฐานของชุดข้อมูลที่มีขนาดเล็ก ใช้แทนที่ตารางค่าที่สำคัญสำหรับการกระจาย t ได้ตามต้องการ

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2010

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    T.DIST.RT(x, deg_freedom)

    Arguments

    • x (Required – numeric)
      ค่าตัวเลขที่ต้องการประเมินผลจากการกระจายตาราง t (distribution table)
    • deg_freedom (Required – integer)
      จำนวนระดับอิสระที่เป็นจำนวนเต็ม

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =T.DIST.RT(1.959999998, 60)
      Description: ประเมินผลการกระจาย t ของนักเรียน แบบ one-tailed ทางซ้ายด้วยค่า x = 1.959999998 และ degree of freedom = 60
      Result:0.027322 (ผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ใช้ในการตัดสินใจทางสถิติ)
    • Formula:
      =T.DIST.RT(2, 10)
      Description: ประเมินผลการกระจาย t ของนักเรียนทางขวาด้วยค่า x = 2 และ degree of freedom = 10
      Result:0.0361 (ค่าความน่าจะเป็นแบบละเอียดสำหรับการทดสอบ t-test)
    • Formula:
      =T.DIST.RT(1.5, 200)
      Description: คำนวณการแพร่กระจาย t แบบข้างเดียวของ x = 1.5 เมื่อ degree of freedom = 200
      Result:0.0675 (แสดงความน่าจะเป็นของจุดที่ให้มาภายใต้การกระจาย t)
    • Formula:
      =T.DIST.RT(A1, A2)
      Description: หาค่าความน่าจะเป็นที่ตำแหน่ง x ในเซลล์ A1 เมื่อ degree of freedom ในเซลล์ A2
      Result:ค่าความน่าจะเป็นขึ้นอยู่กับค่าใน A1 และ A2
    • Formula:
      =IF(T.DIST.RT(B1, B2)>0.05, "Fail to reject", "Reject")
      Description: การใช้ T.DIST.RT ในการทำงานร่วมกับฟังก์ชั่น IF เพื่อช่วยในการตัดสินใจจากค่าความน่าจะเป็น
      Result:"Fail to reject" or "Reject" ขึ้นกับค่าที่ได้จาก T.DIST.RT
    • Formula:
      =T.DIST.RT(3, 8)
      Description: หาค่าการกระจาย t ด้านขวา เมื่อค่า x = 3 และ degree of freedom = 8
      Result:0.009124 (ค่าตัวเลขที่ต่ำแสดงถึงความน่าจะเป็นที่ต่ำจากการทดสอบ t-test)

    Tips & Tricks

    การใช้ T.DIST.RT สามารถใช้ควบคู่กับฟังก์ชันอื่นๆ เช่น IF และในตัวอย่างยังเป็นวิธีที่ดีในการคำนวณค่าคาดการณ์หรือในการหาค่าความน่าจะเป็นเมื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีระดับอิสระต่ำ

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ฟังก์ชัน T.DIST.RT จะให้ค่า #VALUE! หากข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเลข และจะให้ค่า #NUM! ถ้าระดับอิสระ (degree of freedom) มีค่าน้อยกว่า 1

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️

  • T.DIST.2T

    TLDR สรุปสั้นๆ

    T.DIST.2T คืนค่าตัวเลขที่แสดงค่าว่าอยู่ตรงไหนของการแจกแจงทีแบบสองทิศทาง ใช้สำหรับทดสอบสมมติฐานในข้อมูลชุดเล็ก

    คำอธิบาย

    ฟังก์ชันนี้ใช้ในการคำนวณการแจกแจงทีสองทาง (two-tailed Student’s t-distribution) ซึ่งมักใช้ในการทดสอบสมมติโดยเฉพาะกับข้อมูลชุดเล็ก แทนการใช้ตารางค่าคริติคัล

    มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน

    2010

    รูปแบบคำสั่ง (Syntax)

    T.DIST.2T(x,deg_freedom)

    Arguments

    • x (Required – number)
      ค่าตัวเลขที่ต้องการประเมินการแจกแจง เป็นค่าจำเพาะที่ต้องดูว่าอยู่ตรงไหนของการแจกแจง
    • deg_freedom (Required – integer)
      จำนวนองศาของความอิสระ จะต้องเป็นตัวเลขเต็มจำนวนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 1

    ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)

    • Formula:
      =T.DIST.2T(1.959999998, 60)
      Description: คำนวณการแจกแจงแบบสองทางที่ตำแหน่ง 1.959999998 โดยมีอิสระ 60
      Result:5.46% (แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์การแจกจ่ายที่สองทาง)
    • Formula:
      =T.DIST.2T(2.5, 30)
      Description: คำนวณการแจกแจงแบบสองทางที่ค่า 2.5 และอิสระ 30
      Result:Data type เป็นเปอร์เซ็นต์
    • Formula:
      =T.DIST.2T(0.5, 10)
      Description: คำนวณการแจกแจงสองทางที่ค่า 0.5 และอิสระ 10
      Result:Data type เป็นเปอร์เซ็นต์
    • Formula:
      =IF(T.DIST.2T(2, 5) < 0.05, "Significant", "Not Significant")
      Description: ใช้การตัดสินว่าการแจกแจงมีนัยสำคัญหรือไม่
      Result:ถ้าได้ค่าน้อยกว่า 0.05 จะเป็น Significant (มีนัยสำคัญ) ถ้าไม่จะเป็น Not Significant
    • Formula:
      =T.TEST(A1:A10, B1:B10, 2, 2)
      Description: ใช้ทดลองหาการแจกแจงสองทางของข้อมูลสองชุด
      Result:ผลลัพธ์บอกความน่าจะเป็นของค่าต่างๆ ในชุดข้อมูลว่าแตกต่างกันหรือไม่

    Tips & Tricks

    T.DIST.2T เหมาะกับการวิเคราะห์ข้อมูลในกรณีที่ไม่ทราบว่าประชากรมีการแจกแจงเป็นปกติหรือไม่ และควรใช้กับตัวอย่างที่มีขนาดเล็ก

    ข้อควรระวัง (Cautions)

    ควรตรวจสอบว่าข้อมูลทุกค่าที่ใส่เข้าไปต้องเป็นตัวเลข ไม่เช่นนั้นจะเกิดข้อผิดพลาดเป็น #VALUE! และค่าของ deg_freedom ต้องเป็นอย่างน้อย 1 รวมถึงค่า x ต้องไม่น้อยกว่า 0 ที่ไม่งั้นจะเกิดข้อผิดพลาดเป็น #NUM!

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง

    References

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️