ตัวอย่างที่ 1: จัดการ #N/A จากการค้นหา VLOOKUP
– ถ้า VLOOKUP หา "A99" ไม่เจอใน ProductData จะคืนค่า Error #N/A
– IFNA จะดักจับ #N/A นั้นและแสดงข้อความ "ไม่พบข้อมูล" แทน
=IFNA(VLOOKUP("A99", ProductData, 2, FALSE), "ไม่พบข้อมูล")
ไม่พบข้อมูล
แสดงค่าที่กำหนดเมื่อสูตรคืนค่า Error #N/A
IFNA จะตรวจสอบว่าสูตรคืนค่า Error #N/A หรือไม่ ถ้าใช่ จะคืนค่าที่เรากำหนด (เช่น “ไม่พบข้อมูล”) แต่ถ้าเป็น Error อื่นๆ (เช่น #VALUE!, #REF!) จะยังแสดง Error ตามเดิม เหมาะสำหรับใช้คู่กับ VLOOKUP
=IFNA(value, value_if_na)
=IFNA(value, value_if_na)
| Argument | Type | Required | Default | Description |
|---|---|---|---|---|
| value | Any | Yes | สูตรหรือค่าที่ต้องการตรวจสอบ Error | |
| value_if_na | Any | Yes | ค่าที่จะแสดงแทนเมื่อเกิด Error #N/A |
เมื่อ VLOOKUP หาไม่เจอจะขึ้น #N/A ใช้ IFNA เปลี่ยนให้เป็นคำว่า "ไม่พบสินค้า" หรือว่างไว้
ใช้ IFNA(VLOOKUP1, VLOOKUP2) เพื่อหาในตารางแรกก่อน ถ้าไม่เจอให้ไปหาในตารางที่ 2
=IFNA(VLOOKUP("A99", ProductData, 2, FALSE), "ไม่พบข้อมูล")
ไม่พบข้อมูล
=IFNA(MATCH("Banana", FruitList, 0), "")
(ว่าง)
=IFNA(VLOOKUP(LookupValue, Table1, 2, 0), VLOOKUP(LookupValue, Table2, 2, 0))
ค่าจาก Table2
IFNA ดักจับเฉพาะ #N/A เท่านั้น ส่วน IFERROR ดักจับทุก Error (#VALUE!, #REF!, #DIV/0!) ซึ่งอาจทำให้เราพลาด Error สำคัญอื่นๆ ที่ควรต้องแก้ไขได้
ฟังก์ชัน IFNA ใช้สำหรับจัดการกับข้อผิดพลาด #N/A โดยเฉพาะ (ซึ่งมักเกิดจาก VLOOKUP หรือ MATCH หาข้อมูลไม่เจอ) โดยกำหนดให้แสดงค่าอื่นแทน Error ได้