เราสามารถ Split คอลัมน์ได้ 2 แบบ เช่นเดียวกับเครื่องมือ Text to Column นั่นคือ แบ่งแบบใช้ตัวคั่น (delimiter) กับแบบมีจำนวนอักขระชัดเจน ( number of character)
จากที่ผมได้มีการ Post แนะนำ Power Query ไปในเพจ ปรากฏว่ามีคนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่าจะเขียนบทความแนะนำ Power Query เบืองต้นให้ทุกคนได้อ่านกันครับ ซึ่งเครื่องมือนี้ใช้ได้กับ
Microsoft Office 2010 Professional Plus ที่มี Software Assurance
Microsoft Office 2013
Microsoft Office 2016 ขึ้นไป รวมถึง Office 365
สำหรับบทความนี้ เราจะมาเริ่มกันที่การปลุก Power Query ให้ตื่นขึ้นมาก่อน เพื่อที่ทุกคนจะได้ใช้งานมันได้ในตอนต่อๆ ไปครับ
จนผมได้พยายามค้นใน Internet ก็รู้ว่าจริงๆ แล้ว Excel ทำแบบที่ผมต้องการได้ ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า Custom List นั่นเอง
Custom List
Custom List เป็นเครื่องมือที่ช่วยให่เราสามารถสร้าง List รายการแบบที่เรากำหนดได้เอง ซึ่งจะทำให้ Excel สามารถ Auto Fill ข้อมูล หรือ Sort ข้อมูลตาม List ที่เรากำหนดได้
ในรอบแรก ตัวแทนสาย C ดูเหมือนจะได้โจทย์ที่เข้าทางมากๆ เขียนสูตรนิดเดียวก็ได้คำตอบเลย
แต่พอมาถึงในรอบหลังนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่แนวทางของตัวแทนสาย C เอาซะเลย…
กลับกันกับตัวแทนสาย D ซึ่งรอบแรกก็หืดขึ้นคอเหมือนกัน ต้องเขียนสูตรยาวมาก แถมต้องใช้ CHOOSE มาช่วยอีก
แต่พอมารอบนี้อะไรก็เข้าทางไปหมด..
เอ้า! แล้วตอนนี้คุณรู้หรือยังครับว่าตัวแทนสาย C คือใคร และตัวแทนสาย D คือใคร?
ตัวผมเองก็ตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกันว่าจะให้ฟังก์ชันไหนเข้ารอบต่อไปดี เพราะ ณ ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความอยู่นี้ มีตัวแทนสาย C ที่มีคะแนนโหวตนำโด่งอยู่ตัวเดียว ส่วนตัวแทนสายอื่นๆ คะแนนเท่ากันหมดเลย
ผมคิดว่าการที่ตัวแทนสาย C ได้รับคะแนนโหวตเยอะมาก เพราะความง่ายและสั้นในการเขียนสูตรนั่นเอง ซึ่งผมจะเคารพการตัดสินใจของเพื่อนๆ ครับ
ดังนั้นตัวแทนสาย C จะเข้ารอบไป โดยที่จะยังไม่ได้เปิดเผยหน้าตาที่แท้จริงว่าคือฟังก์ชันอะไร?
ส่วนฟังก์ชันอีกอันที่จะเข้ารอบไป ผมขอเลือกเป็นตัวแทนสาย D แล้วกันครับ เนื่องจากความยุ่งยากในการเขียนสูตรที่ยาวมากๆ เรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามกับตัวแทนสาย C โดยสิ้นเชิงเลย
ใบ้เพิ่มเติม
ทั้งตัวแทนสาย C และ D ที่เข้ารอบไปแล้วฝากบอกมาว่า ถึงค่าที่จะ Lookup จะไม่ใช่ตัวเลข ตัวเองก็ไม่กลัวเลย สามารถทำงานได้ สบายหายห่วง!
ต่างจากตัวแทนกลุ่ม A และ B ที่หากจ้อง Lookup ค่าที่เป็นตัวหนังสือกลับมาคงจะลำบากสุดๆ ครับ
ดังนั้นวันนี้ผมจะทำการถอดหน้ากาก ตัวแทนสาย A และ B ซะก่อนครับ !!
ซึ่งการเขียนสูตรแบบเอา Range หลายอันบวกลบคูณหารกันนั้น เป็นการเขียนสูตรแบบ Array Formula ซึ่งปกติต้องกดปุ่ม Control+Shift+Enter ถึงจะใช้งานได้ แต่ฟังก์ชัน SUMPRODUCT สามารถทำงานได้เลยโดยกดปุ่ม Enter ธรรมดา
ซึ่งโหมด Copy as Picture แบบ As Shown when printed นี้จะได้ภาพที่คมชัดกว่า Copy เฉยๆ แล้ว Paste As Picture นะครับ แถมสามารถช่วยตัดพวกสัญลักษณ์ Error แปลกๆ (ธงเขียว) และสัญลักษณ์การ Comment (ธงแดง) ออกไปได้ด้วย !! (คุณบิว วิศวกรรีพอร์ต บอกมา และผมก็ลองแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย!!)
ส่วนของการปรับแต่ง Font ก็มีขีดเส้นใต้คู่ด้วยนะ 555
การตีกรอบก็มีได้หลายวิธีมากๆ ยิ่งถ้ากดไปใน More Border เราสามารถทำเส้นกรอบแบบแทยงมุมได้ด้วยนา
การจัดวางตัวอักษรก็ปรับได้หลายแบบ ถ้าเลือก Format Cell Alignment ก็จะปรับได้เยอะขึ้นไปอีก (กด ctrl+1 ก็ได้)
เคยกดพวก Shrink to Fit บ้างมั้ย? มันจะลดขนาด Font ให้พอดีช่องเองนะ
ส่วนการ Merge Cell ก็มีโหมด Merge Across ให้เลือกด้วย ซึ่งมันจะ Merge แบบแยกบรรทัดกันได้ด้วยนะ
การปรับ Number Format ก็มี Preset พื้นฐานให้เลือกพอสมควร ถ้ายังไม่ได้ดั่งใจก็ต้องไป More Number Format… แล้วไป Custom เอา
ส่วนการใช้ Conditional Format (ปรับ Format ตามเงื่อนไข) ก็มี Preset ให้เลือกเยอะเลย แต่ถ้ายังไม่พอใจ ก็ต้องไป New Rule… แล้ว Use Formula เอา เพื่อความ Flexible ขั้นสุดยอด
Post นี้คือ ส่วนหนึ่งของโครงการ inwexcel365tips ที่ผมจะ post บทความในเพจทุกวัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 ปี ถ้าผมพลาดไม่ post ภายในเวลา 3 ทุ่ม คนที่มาทวง post คนแรก รับของแจกฟรีได้เลย !!
Post นี้คือ ส่วนหนึ่งของโครงการ inwexcel365tips ที่ผมจะ post บทความในเพจทุกวัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 ปี ถ้าผมพลาดไม่ post ภายในเวลา 3 ทุ่ม คนที่มาทวง post คนแรก รับของแจกฟรีได้เลย !!
ไม่ต้อง Copy ข้อมูลจากบรรทัดบนไปบรรทัดล่างอีกต่อไป มันจะลงมาให้เองอัตโนมัติ ทั้งสูตร, Data Validation, Conditional Format ทั้งหลายที่เรากำลังจะอธิบายต่อๆไป
เราสามารถสร้าง Drop down List ให้คนกรอกข้อมูลได้เร็วและถูกต้องได้ง่ายๆ ซึ่ง Dropdown ที่จะนำมาใช้ได้ เช่น คนรับผิดชอบงาน/กลุ่มของงาน/Status ของงาน เป็นต้น
วิธีการทำก็ง่ายมาก ให้ไปที่ [Data] -> Data Validation -> List -> แล้วพิมพ์ตัวเลือกที่ต้องการ คั่นด้วย Comma หรือจะเลือก Range ของ Choice ที่ต้องการ หรือจะเลือกจากชื่อที่ตั้งเอาไว้แล้วก็ได้ (ในรูปผมตั้งชื่อ Range ของ Choice ที่จะให้เลือกว่า ลูกน้อง ตามวิธีด้านล่าง)
แต่เทคนิคที่หลายคนอาจไม่รู้คือ เราสามารถทำ Drop down List แบบที่เลือกแล้วยังแก้ข้อมูลต่อได้ด้วย ซึ่งจะเป็นการเน้นเรื่องของความเร็วในการกรอกข้อมูลมากกว่าความถูกต้อง เทคนิคคือ ใน Tab Error Alert ให้เอาติ๊กถูกออกไปตรงส่วนของ Show error alert after invalid data is entered
เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีการกรอกข้อมูลได้อย่างถูกต้อง เครื่องมือ Data Valuidation เราสามารถเลือกคำสั่ง Allow เป็น Number, Text, Date เพื่อกำหนดประเภทข้อมูลที่ต้องการให้กรอกได้อย่างง่ายดาย เช่น ในช่อง “Deadline” อาจจะใส่เงื่อนไขว่า ห้ามกรอกวันที่ในอดีต โดยใส่ว่า Date ต้อง greater than or equal to =TODAY() เป็นต้น
9. รู้จักใช้ Conditional Formatting เพื่อใส่ Format แบบ Dynamic
เวลาเราเลือก Status ของงาน เช่น To do/Doing/Done เราอาจต้องการให้สีของพื้นหลังของ Cell เปลี่ยนไปตาม Status ที่ปลี่ยนไปได้ ซึ่งเราทำแบบนี้ได้ด้วยเครื่องมือ Conditional Formatting
แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนสีโดยขึ้นกับข้อมูลในช่องอื่น แบบนี้ต้องเลือกแบบ Use Formula… ซึ่งจะต้องมีความรู้การเขียนสูตรเชิง Logic ด้วย
ปรับ Format ตามเงื่อนไขจากข้อมูลช่องตัวเอง
เช่น ถ้า Status เป็น Done ผมจะให้สีของช่อง Status เป็นสีเขียว แบบนี้ทำง่ายมากโดยเลือกที่ช่อง Status แล้วเลือก Conditional Formatting -> Highlight Cells Rules -> Equal to –> ใส่คำว่า Done แล้วเลือก Format ที่ต้องการ (ถ้าไม่ตรงใจให้เลือก Custom)
ปรับ Format ตามเงื่อนไขจากข้อมูลช่องอื่น
สมมติอยากให้ลำดับเลขงานและชื่องานที่เสร็จแล้วเป็นสีเขียวด้วย แบบนี้ต้องไปเลือกช่อง ลำดับเลขงานและชื่องาน แล้วไปที่ Conditional Formatting -> New Rules -> Use Formula to determine…
จากนั้นใส่สูตรเพื่อเช็คเงื่อนไข ถ้าสูตรเป็นจริงก็จะ Apply Format ที่ตั้งค่าไว้
เราไม่สามารถรู้ประเภทของข้อมูลได้ด้วยตาเปล่า เพราะอาจถูกลวงด้วยการปรับ Format เช่น ในรูปผมปรับให้ข้อมูลอยู่กึ่งกลางทั้งหมด จึงไม่มีทางดูออกเลยว่าเป็น Number หรือ Text
วิธีที่จะเช็คได้ดีที่สุดคือใช้ฟังก์ชั่น TYPE มาเช็คครับ
ซึ่งแปลความหมายได้ดังนี้ 1 = Number 2= Text 4= Logic 16 = Error
พอลองเช็คดูจะเห็นว่าในตารางอ้างอิง ตัว ID เป็น Text แต่ใน Lookup_Value เป็น Number
นี่คือสาเหตุที่ว่า VLOOKUP หาค่า 100 ในตารางไม่เจอ ทั้งๆ ที่เรามองเห็นอยู่เต็มตาแท้ๆ !!
ซึ่งพอกด Enter ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็น “ยังไม่หมดเขต” ตามที่ควรจะเป็น (อย่าลืมลองเปลี่ยนวันที่เล่นดูว่าสูตรยังทำงานถูกหรือไม่?)
แต่วิธีนี้มีข้อควรระวัง คือ เรื่องของ Format วันที่ของ Region and Language ใน Control Panel ของคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดไฟล์นั้นๆ อยู่ เพราะอาจทำให้วันและเดือนสลับกันได้ซึ่งอันตรายพอตัวเลยครับ
ซึ่งพอกด Enter ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็น “ยังไม่หมดเขต” ตามที่ควรจะเป็น
วิธีนี้สิ่งที่เราต้องทำคือ จงแน่ใจว่าเราใส่รูปแบบวันที่แบบเดียวกับวันที่ที่นำมาเปรียบเทียบ เช่น ถ้าเป็น DD/MM/YYYY ก็ใส่ให้เหมือนกัน หรือถ้าเป็น MM/DD/YYYY ก็จงทำให้เหมือนกัน ไม่่งั้นอาจผิดเพราะเรื่อง Format วันที่ของ Region and Language แบบเดียวกับข้อข้างบนได้
3. เขียนวันที่ด้วยฟังก์ชั่น DATE
วิธีนี้มีความปลอดภัยสูงที่สุด เพราะจะไม่มีปัญหาเรื่องการตั้งค่า Format วันที่ของ Region and Language ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเลย เพราะฟังก์ชั่น DATE จะถามหา Argument แยกกัน นั่นคือ ปี เดือน วัน แต่ละตัวแยกกันโดยไม่ปนกันเลย
ดังนั้นถ้าถามผมว่าวิธีไหนน่าจะ Work และปลอดภัยที่สุด ความเห็นส่วนตัวของผมคือ วิธีสุดท้ายนี่แหละครับ ^^
ก่อนที่จะคำนวณข้อนี้ได้ เราจะต้องมีความเข้าใจเรื่องที่ว่า วันที่และเวลา จริงๆ แล้วคือตัวเลขธรรมดาๆ ที่เปลี่ยน Number Format ไปเท่านั้น (อย่างที่อธิบายข้างบนว่า การปรับ Format ไม่มีผลต่อการคำนวณ)
นี่แหละครับคือความเป็น Dynamic Range แบบง่ายๆ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์กับการเลือก Data Source ของ PivotTable ได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้ไม่ต้องมาเลือก Source Data ใหม่ และไม่ต้องเลือกทั้งคอลัมน์เผื่อไว้ก่อน (ถ้าเลือกเผื่อไว้ก่อนจะกด Group Data แบบอัตโนมัติไม่ได้)
วิธีนี้เป็นการสร้าง PivotTable จากข้อมูลหลายตารางที่มีความสัมพันธ์กัน (เรียกว่า Data Model) ซึ่งเป็น Concept เดียวกับโปรแกรม Power BI เลยครับ หากใช้วิธีนี้เราก็จะสามารถสร้าง Pivot Table แล้วเลือก Field ข้ามตารางได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเอาข้อมูลมารวมเป็นตารางเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
เราก็จะสามารถใช้ PivotTable Model Data Model แล้วยังสามารถลาก Field ข้ามตารางได้เลย โดยไม่ต้องเอาข้อมูลมารวมกันเป็นตารางเดียวกันอีก
สำหรับรายละเอียดว่า Concept ของ Data Model ทำงานยังไง ให้ไปอ่านใน Series Power BI ได้ครับ
หมายเหตุ : นอกจากวิธีนี้ เรายังกดสร้าง PivotTable โดยใช้ Data Model แบบไม่เปิด PowerPivot ก็ได้ โดยกดสร้าง PivotTable จากตารางโดยตรง แล้วติ๊ก Add to Data Model
วิธีที่ 2 : ใช้ Power Query (เหมาะกับ Excel 2013 ขึ้นไป)
การใช้ Power Query นั้นสามารถทำได้ 2 ลักษณะ คือ
2.1 เตรียมตารางแยกหลายๆ ตารางที่มีความสัมพันธ์กัน แล้วส่งเข้าสู่ Data Model
ถ้าใช้แบบนี้ ก็เป็นการใช้ Power Query แค่จัดหน้าตาข้อมูลให้เหมาะสมเท่านั้น เพิ่มเติมแค่ตอนกด Close & Load To… ให้เลือกเป็น Connection Only (เพราะเราจะไม่ Load ผลลัพธ์ออกมาใน Excel ปกติ) แต่ให้ติ๊กเลือกว่า Add to Data Model เพื่อให้มันส่งผลลัพธ์เข้า Data Model เท่านั้นเอง
เลือก Table ซักอัน แล้วกด > เพื่อ Add Field (ในที่นี้ของผมมีปัญหากับ field ภาษาไทย ผมเลยต้องเปลี่ยนชื่อ Field เป็นภาษาอังกฤษ)
กด Next ไปจนหน้าสุดท้าย ให้เปลี่ยนเป็นเลือกดู Query ก่อน
กด SQL แล้วแก้ Code ให้เป็นดังนี้ SELECT * FROM ‘pathของไฟล์’.’ชื่อชีทแรก(ตามที่มันแสดง)’ ‘ชื่อชีทแรก(ตามที่มันแสดง)’ UNION ALL SELECT * FROM ‘pathของไฟล์’.’ชื่อชีทสอง(ตามที่มันแสดง)’ ‘ชื่อชีทสอง(ตามที่มันแสดง)’
ของผมจะได้เป็นแบบนี้ SELECT * FROM ‘D:\INWEXCEL\PIVOT\multiple-pivot-data2.xlsx’.’Month1$’ ‘Month1$’ UNION ALL SELECT * FROM ‘D:\INWEXCEL\PIVOT\multiple-pivot-data2.xlsx’.’Month2$’ ‘Month2$’
แล้วกด OK แล้วมันจะบอกว่าไม่สามารถแสดงผลได้นะ ให้ OK อีกที
ต้องบอกก่อนว่า เทคนิคนี้เป็นเครื่องมือใน Microsoft Word แต่ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ Word ดังนั้น หากใครเห็นว่ามีวิธีที่ดีกว่าที่ผมแนะนำ ก็สามารถบอกมาเป็นวิทยาทานให้ผมและคนอื่นๆ ได้รู้ด้วยนะครับ
เอาล่ะ เกริ่นมามากแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปดูกันเลย เอาเป็นว่าวันนี้ inwexcel ขอพูดเรื่อง Word บ้างล่ะ 555
Mail Merge คืออะไร?
Mail Merge คือความสามารถหนึ่งของ Microsoft Word ที่สามารถดึงข้อมูลจาก Database ต่างๆ (รวมถึงข้อมูลใน Excel) ที่มีข้อมูลหลายๆ Record (บรรทัด) มาโปรยลงแบบฟอร์มที่ได้เตรียมเอาไว้ใน Microsoft Word ได้ ซึ่งเราสามารถเอามาประยุกต์ทำเรื่องต่างๆ ได้มากมาย โดยมี Concept ดังนี้
วิธีแก้ 3 ประเด็นนี้ จริงๆ แล้วบางอันทำใน Word ก็ได้ โดยการกำหนด Format ใน Field Code
แต่ส่วนตัวผมไม่ชอบวิธีนี้ เพราะขี้เกียจมาจำวิธีการกำหนด Format ใน Word อีก (แค่ Excel ก็มึนแล้ว) ดังนั้นผมจะแก้ปัญหาทุกอย่างใน Excel ให้จบเลย แล้วค่อยส่งมาที่ Word เพื่อแสดงผลอย่างเดียว
แต่ถ้าหากผมลองเปลี่ยน Number Format ใน Excel ให้เป็นแบบที่ต้องการ เช่น เป็นวันที่แบบเต็ม และราคามีจุดทศนิยม
เวลาเข้ามาคลิ๊ก Next / Previous ดูใน Word ก็ยังคงแสดงวันที่และเลขตามปกติอยู่ดี เพราะมันเอาค่าแบบ General ไปแสดงเท่านั้น (ถ้าลองเปลี่ยนค่าไปเลยมันจะเปลี่ยนตามแล้ว แต่ Format ไม่เปลี่ยนตาม)
ผมจะเตรียมให้ข้อมูลทุกอย่างใน Excel ให้อยู่ในรปแบบที่ผมต้องการโดยต้องเป็น Text ทั้งหมด แล้วค่อยส่งไปแสดงผลตรงๆใน Word โดยที่ใน Word ไม่ต้องมีการกำหนด Format อะไรอีกเลย
Key สำคัญคือต้องทำให้เป็น Text ให้หมด อะไรที่เดิมเป็นตัวเลขและวันที่ ผมจะใช้ฟังก์ชั่น TEXT มาช่วย เพื่อแปลงให้มันอยู่ในรูปแบบที่ผมต้องการเลย ซึ่งเราจะต้องรู้ว่าต้องระบุ Custom Format ยังไง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพราะเราสามารถเลือก Standard Format แบบที่ต้องการก่อน แล้วค่อยไปเลือก Custom Format เพื่อดู Code ที่จะต้องใช้อีกทีก็ได้
รู้หรือไม่ว่า บางเรื่องแม้ดูเหมือนง่าย และน่าจะเป็นไปตาม Common Sense ของเรา ในความเป็นจริง Excel อาจไม่ได้ทำงานแบบที่เราคิดก็ได้ จนในที่สุดก็ทำให้เกิดความผิดพลาดได้…
เรื่องนี้หลายคนอาจไม่ได้สังเกต เพราะดูเป็นเรื่องง่ายๆ แค่ใช้เครื่องหมายเท่ากับ ซึ่งตามหลัก Common Sense แล้ว เครื่องหมายเท่ากับก็เอาไว้เช็คว่าสองช่องมันเท่ากันรึเปล่า… ไม่ใช่เหรอไง?
แต่คำว่าเท่ากันของ Excel มันกลับมองว่าตัวพิมพ์ใหญ่ตัวพิมพ์เล็กไม่มีผลครับ ดังนั้นมันจึงมองคำว่า Dog และ dog ว่าเท่ากันด้วยเครื่องหมายเท่ากับซะงั้น! (ตามรูปให้ผลเป็น TRUE)
Array Formula : สายที่เน้นการใช้สูตรคำนวณ เก่งการใช้สูตรในการแก้ปัญหามาก สามารถใช้ Array Formula ได้อย่างคล่องแคล่ว คนกลุ่มนี้สามารถรับภารกิจลุยไปได้เกือบทุกพื้นที่ เพราะไม่มีความน่ากลัวแอบแฝงเหมือนกลุ่มนักเขียนโปรแกรม (ไม่ติดข้อจำกัดเรื่องที่ว่าห้ามใช้ VBA) => ซึ่งทักษะนี้ผมมีสอนเป็นคอร์สออนไลน์แล้วครับ
PowerTool : สายนี้เน้นการทำงานกับข้อมูลจำนวนมาก มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้พวก PowerPivot, DAX Formula/DAX Pattern, Power BI ซึ่งเป็นสุดยอดเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ Excel มีมาให้ด้วย ซึ่งแนวโน้มความต้องการในยุคนี้น่าจะมาแรงมากจากความต้องการเรื่องของ Big Data
This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.
Necessary cookies are absolutely essential for the website to function properly. These cookies ensure basic functionalities and security features of the website, anonymously.
Cookie
Duration
Description
cookielawinfo-checkbox-analytics
11 months
This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics".
cookielawinfo-checkbox-functional
11 months
The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional".
cookielawinfo-checkbox-necessary
11 months
This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary".
cookielawinfo-checkbox-others
11 months
This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other.
cookielawinfo-checkbox-performance
11 months
This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance".
viewed_cookie_policy
11 months
The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data.
Functional cookies help to perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collect feedbacks, and other third-party features.
Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.
Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.
Advertisement cookies are used to provide visitors with relevant ads and marketing campaigns. These cookies track visitors across websites and collect information to provide customized ads.